เวที NBA นั้นถือได้ว่าเป็นเวทีบาสเกตบอลระดับอาชีพที่มีบรรดาเหล่านักกีฬาที่มีความสามารถหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน ซึ่งการได้เห็นนักบาสเกตบอลในแต่ละเชื้อชาติลงเล่นนั้น มันจึงทำให้ลีกนี้กลายเป็นลีกที่ได้ครับความนิยมล้นหลามไปทั่วโลก แต่ทว่าถ้าคุณลองสังเกตดี ๆ แล้วบรรดาเหล่าผู้เล่นทั้งหลายที่โลดเล่นอยู่ในวงการนี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักกีฬาผิวดำทั้งสิ้น จนทำให้หลาย ๆ คนถึงกับพูดว่ากีฬาบาสเกตบอลนั้นเป็นกีฬาของคนดำกันมาอย่างยาวนาน แต่คุณเชื่อไหมละว่าครั้งหนึ่ง นักกีฬาผิวขาวคนแรกของการแข่งขัน NBA กลับไม่ใช่คนในทั้งทางฝั่งยุโรป อเมริกา หรือ แอฟริกา แต่อย่างใด แต่มันกลายเป็น คนทีมีเชื้อสายเอเชีย โดยผู้ที่กรุยทางบุกเบิกความเป็นนักกีฬาผิวขาว และ ยังเป็นคนเชื้อสายเอเชียคนแรกนั้น เขามีชื่อว่า วาตารุ มิซากะ
วาตารุ มิซากะ เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 1923 โดยเขาคนนี้เกิดในครอบครัวชาวญี่ปุ่น
ที่อพยพมาแสวงหาขุมทัรพย์ในประเทศอเมริกาเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยพวกเขานั้นอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินของร้านตัดผมที่คุณพ่อเป็นเจ้าของ แถมบริเวณรอบร้านก็ยังเป็นที่ตั้งขอสถานที่ขายบริการทางเพศที่ขายกันอย่างประเจิดประเจ้อ แต่อย่างน้อยตัวของ วาตารุ ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยให้สภาพแวดล้อมมามีอิทธิพลต่อชีวิต มันจึงทำให้เขาหันมาเล่นบาสเกตบอลเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในเวลานั้น
แต่แล้วเรื่องราวสุดชีช้ำก็เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องราวนั้นก็คือ การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันดีกว่าประเทศที่เป็นต้นเหตุของสงครามในครั้งนี้ก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศผู้เป็นต้นกำเนิดของครอบครัวของ วาตารุ มิซากะแถมประเทศของเขายังสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับประเทศอเมริกา
ซึ่งเพราะเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ อเมริกา ต้องกวาดต้อนชาวญี่ปุ่นเข้าสู่ค่ายกักกัน เพื่อป้องการปฏิบัติการของสายลับที่อาจซ่อนตัวอยู่ในหมู่ชาวญี่ปุ่น รวมถึงควบคุมไม่ให้เกิดการลุกฮือหลังสงครามสิ้นสุด แต่ก็ถือว่ายังเป็นโชคดีที่ครอบครัวของวาตารุ มิซากะ ไม่ได้ถูกกวาดต้อนไปในครั้งนี้ด้วย ทำให้เจ้าตัวยังสามารถที่จะเล่นบาสต่อไปในช่วงเวลานั้นได้
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ตัวของ วาตารุ มิซากะเริ่มโชว์ผลงานให้หลาย ๆ คนเห็น
โดยเขาคนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในทีมบาส ของโรงเรียนมัธยมอ็อกเดนในชุดคว้าแชมป์ของรัฐในปี 1940 ส่วนในช่วงจูเนียร์ คอลเลจ เขาก็ได้พาทีมหาวิทยาลัยอย่าง เวเบอร์ สเตท คว้าแชมป์ได้ถึง 2 ปี และหลังจากที่เขาได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เขาคนนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ระดับประเทศในปี 1944
แต่แน่นอนละด้วยความที่วาตารุ มิซากะมีเชื้อของความเป็นญี่ปุ่น ปัญหาหนักที่สุดที่เขาจะต้องเผชิญหน้าด้วยนั่นก็คือ การเหยียดเชื้อชาติ โดยในทุก ๆ เกมเยือนนั้นเขามักจะได้ยินเสียงด่าทอจากบรรดาเหล่าแฟน ๆ ของทีมคู่แข่งอยู่เป็นประจำ หนำซ้ำตอนเข้าร้านอาหาร พนักงานบางคนก็ยังปฏิเสธที่จะให้บริการเขาอีกต่างหาก แต่ถึงแบบนั้นตัวของเขาก็ยังคงมีสำนึกรักแผ่นดินอเมริการที่ยังมีให้เขาซุกหัวนอนอย่างเต็มเปี่ยมไม่เสื่อมคลาย และด้วยความที่ตัวของเขาถือสัญชาติอเมริกัน เมื่อเกิดศึกสงคราขึ้น มันจึงทำให้ตัวของเขาถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2
วาตารุ มิซากะ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดของคุณพ่อ คุณแม่ แต่ในครั้งนี้เขาจะไปในฐานะศัตรูและอาจต้องมือเปื้อนเลือดพี่น้องชาวญี่ปุ่นของเขา แต่ทว่าโชคยังดีที่ยังไม่ทันที่เขาจะออกรบ อเมริกาก็ได้โชว์แสนยานุภาพทางการทหารด้วยการปล่อบระเบิดนิวเคลียร์ จนทำให้ศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง เขาก็ได้กลับไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างการเล่นบาสอีกครั้ง และวาตารุ มิซากะก็ได้ผลงานให้ทุกคนเห็นประจักษ์ในเกมที่ต้องเจอกับมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้หนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งวงการบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัย โดยเขาคนนี้ได้ลงมาเป็นตัวสำรอง และ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นจนทำให้มหาวิทยาลัยยูท่าห์ที่เขาสังกัดอยู่กลับมาผลิก
ชนะและคว้าแชมป์ไปในที่สุด
และเมื่อฟอร์มเด่นขนาดนี้มีเหรอที่วาตารุ มิซากะจะไม่ถูกดราฟท์เข้าสู่วงการบาสอาชีพ โดย NBA
ที่ในสมัยนั้นยังใช้ชื่อว่า ABA ได้นำชื่อเจ้าเด็กหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัยคนนี้ใส่เข้าไปในการดราฟท์ และ ทีมที่เลือกดราฟท์เขาไปนั่นก็คือ นิวยอร์ก นิกส์ โดยพวกเขาได้มอบสัญญาค่าเหนื่อที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งถ้าเอามาคำณวนเป็นค่าเงินเฟ้อในตอนนี้เท่ากับว่าสัญญาฉบับแรกของเขามีมูลค่ามากถึง 1,600,000 บาทเลยทีเดียว
ทว่าหลังจากที่ตัวของ วาตารุ มิซากะ ลงเล่นไปได้ 3 นัด พร้อมกับทำคะแนนไปทั้งสิ้น 7 คะแนน จู่ ๆ เจ้าของทีม นิวยอร์ก นิคส์ ก็เรียกเขาไปพบ พร้อมกับบอกว่า ตอนนี้ทีมของเขามีนโยบายการทำทีมที่เปลี่ยนไป มันจึงทำให้ทีมจำเป็นที่จะต้องปล่อยตัวของ มิซากะ ออกจากทีม
แน่นอนว่านี่คือคำกล่าวอ้างเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งก็ไม่มีใครรู้เหตุผลถึงเรื่องนี้หรอกว่าในตอนนั้นมันมีปัญหาอะไรอยู่ลึก ๆ กันแน่น แต่หลาย ๆ คนก็น่าจะพอเดากันได้ว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องของเชื้อชาติอย่างแน่นอน และหลังจาก นิกส์ ได้ปล่อยเขาพ้นทีมไป ตัวของ วาตารุ มิซากะ ก็ตัดสินใจเดินทางกลับสู่รังเก่าอย่างรัฐยูท่าห์ และทิ้งเรื่องบาสเกตบอลอาชีพเอาไว้ด้านหลัง โดยเขาเลือกที่จะหันเหไปทำงานเป็น วิศวกร เนื่องจากเขานั้นได้จบปริญญาสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยยูท่าห์มานสั่นเอง แถมเจ้าตัวยังให้เหตุผลสำคัญว่าการที่เขาเลือกสายอาชีพนี้นั่นก็เพราะว่าเงินเดือนของ วิศวกร กับ เงินเดือนของนักบาส ในสมัยนั้นแทบไม่ต่างกันเลย
ถึงแม้ว่าวาตารุ มิซากะจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในฐานะของนักบาสอาชีพเท่าไหร่นัก แต่ทว่าเขาคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอีกบุคคลสำคัญที่ทำให้หลาย ๆ คนต้องนึกถึง เมื่อมีการถามว่าใครคือชายผู้ที่บุกเบิกเส้นทางของคนผิวขาวสู่วงการ NBA