หากพูดถึงเกมการแข่งขันกีฬาในลีก เราถือได้ว่าเชื่อว่าแต่ละทีมมันย่อมมีความเลื่อมล้ำกันมากอยู่แล้ว เพาะบางทีมก็มีศักยภาพพอที่จะดึงเอาบรรดาเหล่าซุปเปอร์สตาร์มารวมกันไว้ที่ทีมเดียวกันได้ แต่ทว่าบางทีมกลับต้องหาผู้เล่นตามศักยภาพตัวเองแบบตามี ตามเกิด ซึ่งในวงการบาสเก็ตบอล NBA ก็เช่นกัน เพราะเรามักจะเห็นยุคของแต่ละทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ด้วยความสามารถของซุปเปอร์สตาร์ล้วน ๆ ยกตัวอย่างเช่น ไมอามี ฮีต ในยุคของ เลบรอน เจมส์ หรือจะเป็น บรูคลิน เน็ตส์ ในยุคของ เควิน ดูแรนท์ :ซึ่งทีมเหล่านี้ในยุคนั้นล้วนแล้วแต่เป็นทีมที่สุดยอดจนยากที่จะเอาชนะ
ซึ่งแม้ว่าทีมเหล่านี้จะดูแล้วเป็นทีมที่ยากที่คู่ต่อสู้จะต่อกรด้วย แต่ทว่าถ้าเรามองกลับกันแล้ว ในมุมมองบรรดาเหล่าแฟน ๆ มันกลับเป็นภาพที่น่าตื่นตา ตื่นใจเสียเหลือเกินที่ได้เห็นบรรดาเหล่าซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้ได้เล่นด้วยกัน ซึ่งประเด็นนี้นี่เองแหละที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันว่า คำว่า ซุปเปอร์ทีม นี้มันเป็นสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดีกันแน่น
ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการอ่านบทความนี้ เราขอพาทุก ๆ คนมาทำความเข้าใจกับคำว่า ซุปเปอร์ ทีม กันก่อน โดยความหมายของคำว่าซุปเปอร์ ทีม ในทีนี้หมายถึง ทีมบาสเก็ตบอลในลีก NBA ที่มันอัดแน่นไปด้วยคุณภาพของผู้เล่นระดับซุปเปอร์สตาร์ จนทำให้หลาย ๆ ทีมยากที่จะสู้ด้วย และ บรรดาเหล่าผู้เล่นที่เต็มไปด้วยคุณภาพนี้เองที่ทำให้สโมสรได้แชมป์มาครองได้นั่นเอง
โดยยุคซุปเปอร์ทีมยุคแรก ๆ ที่ใครเป็นแฟนบาสเก็ตบอล NBA จะต้องรู้จักอย่างแน่นนอนั่นก็คือ
ทีมอย่าง บอสตัน เซลติกส์ นั่นเอง โดยซุปเปอร์ทีมนี้ได้ครองความยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ปี 1957 ไปจนถึงปี 1969 ซี่งในระ
ยะเวลานั้น พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ได้11 สมัยภายในเวลา 13 ปี
ต่อจากนั้นมาคำว่า ซุปเปอร์ทีม ในอดีตที่มีความหมายว่า ทีมที่ไร้เทียมทานก็ได้เริ่มเปลี่ยนไป โดยในยุคปัจจุบันทีมทีเป็นซูเปอร์ทีม จะมีความหมายว่า ทีมที่มีการดึงเอาบรรดาเหล่าซุปเปอร์สตาร์เข้ามาร่วมทีมกันอย่างมากมาย เพื่อสร้างความสำเร็จให้กับสโมสรอย่างเร่งด่วน
แล้วทีมที่เป็นซุปเปอร์ทีมในยุคต่อมาก็ยังคงเป็น บอสตัน เซลติกส์ อีกเช่นเคย โดยพวกเขาได้สร้างซุปเปอร์ทีมขึ้นมาในปี 2007 เพื่อทำการทวงบังลังก์ความยิ่งใหญ่คืนมาหลังจากที่พวกเขาไม่ได้แชมป์มาตั้งปี 1986 และแน่นอนว่ามันประสบความสำเร็จเพราะในปีฤดูการ 2008 พวกเขาก็คว้าแชมป์มาได้สำเร็จ
ซึ่งการแชมป์ในครั้งนี้นี่เองเลยกลายเป็นตัวจุดประกายให้กับบรรดาเหล่าทีมต่าง ๆ ที่อยากประสบความสำเร็จมาก ซึ่งทีมต่อมาที่เลียนแบบโมเดลนี้นั่นก็คือ ไมอามี ฮีต ซึ่งพวกเขาได้เลียนแบบวิธีการนี้ในปี 2010 ซึ่งในปีนั้นพวกได้เสริมทัพผู้เล่นอย่าง
เลบรอน เจมส์ จาก คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส , คริส บอช จากง โตรอนโต แรปเตอร์ และ ดเวย์น เหวด การ์ดตัวเก่ง
ซึ่งการรวมดาวเด่นในครั้งนี้นี่เองที่มันได้ทำให้เกิดการถือกำเนิดของซุปเปอร์ทีมีอีกครั้ง และ แน่นอนว่าบรรดาเหล่าซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้ก็ตอบรับสิ่งนี้อย่างดี เพราะว่าในระยะ 4 ปีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ไมอามี่ ฮีต ก็กลายเป็นทีมที่โคตรจะแข็งแกร่งถึงขนาดที่เข้าชิงชนะเลิศ NBA ไปถึง 4 ปีติด และคว้าแชมป์ไปได้ถึง 2 สมัย นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังเป็นแชมป์โซนตะวันออกในทุก ๆ ฤดูกาลอีกด้วย
และการครองแชมป์ และ ประสบความสำเร็จในครั้งนี้นี่เองที่มันได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับซุปเปอร์ทีม นั่นก็คือ การที่ทีมใดทีมหนึ่งมีซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกสัก 3 คนในทีม ทีม ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะคว้าแชมป์มานอนกอดแล้ว
อีกหนึ่งทีมที่ได้สร้างเรื่อราวอันยิ่งใหญ่อย่าง ซุปเปอร์ทีมขึ้นนั่นก็คือ โกลเดนสเตท วอร์ริเออร์ส
ซึ่งในตอนนั้นพวกเขามีผู้เล่นรับ World Class อยู่แล้วอย่าง สเตฟเฟน เคอร์รี, เคล์ย ธอมป์สัน และ เดรย์มอนด์ กรีน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องการความยิ่งใหญ่แบบรวดเร็ว มันจึงทำให้เขาดูด เควิน ดูแรนท์ เข้ามาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยกันกับเขา และการทำครั้งนี้มันก็ส่งผลให้พวกเขาได้เข้าชิงชนะเลิศไปถึง 5 ปีติด แถมพวกเขายังสามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 ครั้งเลยอีกด้วย
ซึ่งยังมีอีกหลายทีมที่กำลังมีไอเดียนี้ ยกตัวอย่างเช่น บรู๊คลิน เน็ตส์ ที่ตอนนี้เริ่มมีการดูดสตาร์ดัง ๆ เข้าไปอยู่ในทีมแล้ว แต่ทว่าการทำแบบนี้เองมันก็เหมือนกับเป็นการค่อย ๆ ทำลายความสนุกในเกมการแข่งขันบาสไปในทางอ้อมเช่นกัน
ทำไมการทำแบบนี้มันถึงการเป็นการทำลายวงการทางอ้อมนะเหรอ ทั้ง ๆ ที่บรรดาเหล่าแฟน ๆ
ก็จะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับการเล่นอันเนียนตาของพวกซุปเปอร์สตาร์แท้ ๆ จริง ๆ แล้วประเด็นนี้มันเริ่มขึ้นมาจาก KD เควิน ดูแรนท์ นี่และ เพราะว่าเขาคนนี้ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ โอคลาโฮมาซิตี้ ธันเดอร์ ซึ่งตอนนั้นฟอร์มกำลังร้อนแรงแบบจัด ๆ และ ย้ายหนีไปอยู่กับ โกลเดนสเตท
ซึ่งการย้ายทีมในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ โอคลาโฮมาซิตี้ ธันเดอร์ ออกลูกเป๋ไปเลยทีเดียว แถมแฟน ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า แทนที่จะมีทีมสักทีมหนึ่งมาหยุดความเก่งกาจของ โกลเดนสเตท กลับกลายเป็นว่ามันจะไม่มีทีมอย่างนั้นอีกแล้ว
แถมอีกอย่างที่มันคือมนต์เสน่ห์ของกีฬาแบบฉบับอเมริกันนั่นก็คตือการเทรด ซึ่งจุดประสงค์ของการเทรดนี้คือการลดข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการลุ้นแชมป์ของทีมต่าง ๆ แต่ทว่าพอระบบการสร้างซุปเปอร์ทีมเกิดขึ้น มันก็แทบจะเดาออกได้ทันทีว่าในฤดูกาลนั้น ทีมไหนที่เป็นแชมป์ NBA คนต่อไป
มาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะตระหนัก แล้วก็เริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่าถ้ามันไม่แฟร์แบบนี้ ทำไม NBA ถึงไม่จัดการอะไรสักอย่างกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งเราก็บอกตรงนี้เลยว่า NBA นั้นไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากทาง NBA นั้นมองว่าการทำแบบนี้มันเป็นแค่การซื้อความสำเร็จในระยะสั้น ๆ เท่านั้น
อีกทั้งเหล่าผู้เล่นซุปเปอร์สตาร์ในสังกัดซุปเปอร์ทีมเหล่านั้น เมื่อได้ความสำเร็จจนเอียนแล้ว ก็จะตัดสินใจหาทีมเพื่อสร้างความท้าทายใหม่ให้กับตัวเองไปเรื่อย ๆ แถมถ้าพวกเขาอยู่นานวันไป เพดานค่าเหนื่อยของเขาก็จะค่อย ๆ จำกัดลงจนทำให้ต้องมีการบีบออกไปเอง
แถมการทำทีมแบบซุปเปอร์ทีมนั้นยังค่อนข้าส่งผลเสียกับทีม ๆ นั้นโดยตรง เนื่องจากการเพิ่งความเก่งของสตาร์ดังมากเกินไปหากมีคนใด คนหนึ่งตัดสินใจออกจากทีมไป การที่จะใครสักคนมาทดแทนนั้นค่อนข้างที่จะทำได้ยากนั่นเอง
ซึ่งกรณีเหล่านี้ก็มีให้เห็นแล้วทั้งกับ ไมอามี่ ฮีต และ โกลเดนสเตท วอร์ริเออร์ส ก็ที่ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าผิดหวังหลังจากหมดยุคของซุปเปอร์ทีมไปนั่นเอง
แล้วในกรณีแบบคุณละคิดว่า ซุปเปอร์ทีมนั้น มันสร้างสรรค์เกมที่ดี หรือ เป็นการบ่อนทำลายความสนุกของบาสเก็ตบอล NBA กันละ dunkswin9
เครดิต : สล็อตแตกง่าย