หากว่ากันถึงทีมในบาสเกตบอล NBA เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะมีอยู่หนึ่งทีมที่ค่อนข้างรู้จักเป็นอย่างดี และ เราก็ยังเชื่ออีกว่าถ้าคุณเข้ามาสู่วงการบาส NBA ทีมแรกที่คุณจะโฟกัสไปทีมแรกเลยนั่นก็คืออย่าง Chicago Bulls ซึ่งแน่นอนแหละว่าการที่ทำให้คุณได้รู้จักกับทีม ๆ นี้ก็คงจะหนีไม่พ้นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการบาสอย่าง ไมเคิล จอร์แดน อย่างแน่นอน แต่ทว่าหากเรามาลงลึกกันจริง ๆ แล้วทีมอย่าง Chicago Bulls ยังมีสตอรี่ และ อะไรหลาก ๆ อย่างที่มีมาอย่างยาวนาน มากกว่านั้น จึงทำให้ในครั้งนี้เราจะพาทุก ๆ คนไปทำความรู้จักกับหนึ่งในทีมที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลกอย่าง Chicago Bulls
Chicago Bulls ได้ก่อตั้งทีมขึ้นในปี 1966 โดย Dick Klein ที่เป็นทั้งประธานควบกับ GM
เป็นคนแรกของทีม อีกทั้งทีมของพวกเขาก็ยังถือได้ว่าเป็นทีมแรก ๆ ที่อยู่ในสังกัดของ NBA มาตั้งแต่แรก ซึ่ง Chicago Bulls ได้เปิดตัวและลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฤดูกาล 1966 – 1967 และทีมจบสถิติด้วย 33 – 48 แต่ถึงผลงานจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่พวกเขาก็ยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมเดียวในลีกที่สามารถเข้าสู่รอบ Playoff ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ก่อตั้งทีมขึ้นมา
นอกจากนั้นแล้ว Chicago Bulls ยังโชว์ฟอร์มสุดฮอตด้วยการสร้างสถิติเข้าไปสู่รอบ Playoff ได้ติดต่อกันถึง 4 ฤดูกาล โดยเฉพาะในฤดูกาล 1971 – 1972 Chicago Bulls ก็สามารถทำสถิติสูงสุดถึง 57 – 28 และได้ทะลุไปถึงรอบชิงแชมป์สาย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพลาดท่าให้กับ Warriors ในที่สุด
แต่ทว่าเหมือนกับว่าการพ่ายแพ้ในครั้งนั้นจะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับ Chicago Bulls
เพราะผลงานของทีมได้เริ่มดรอปลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงฤดูกาล 1975 – 1976 ทีมอย่าง Chicago Bulls ก็เก็บสามารถความหายชัยชนะได้เพียงแค่ 24 นัดเท่านั้น และนั่นเองก็ทำให้ Chicago Bulls ต้องตัดสินใจมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของผู้บริการ และทำให้ในที่สุดทีมก็ถูกขายออกไปให้กับ
ตระกูล Wirtz ในปี 1976 แต่ถึงแบบนั้นตระกูล Wirtz เองก็มาได้สนใจที่จะทำทีมนี้อย่างจริงจึงทำให้เขาไม่ได้สนับสนุนเม็ดเงินเข้ามาในทีมนี้อย่างที่ควรเป็น แต่ถึงแบบนั้นทีมก็ยังได้ผู้เล่นอย่าง Artis Gilmore และ Reggie Theus มาเสริมทีม ซึ่งทั้ง 2 คนนี้สามารถทำงานผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ทีมสามารถจบฤดูกาลปกติด้วยสถิติ 44 – 38 และได้กลับเข้าไปเล่น Playoff อีกครั้ง แต่ทว่ามันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
นอกจากนั้นแล้วในปี 1979 ทีมก็ได้พลาดโอกาสที่จะได้สิทธิ์ดราฟต์อันดับ 1 ซึ่งในตอนนั้นยังใช้วิธีการเสี่ยงทายด้วยเหรียญอยู่ จึงทำให้ Chicago Bulls พลาดโอกาสที่จะได้สุดยอดตำนานแห่ง NBA ยุคแรก ๆ อย่าง Magic Johnson ไป นอกจากนั้นผู้เล่นตัวหลังของ Chicago Bulls อย่าง Gilmore ก็ต้องถูกเทรดออกไปกับทีมอย่าง Spurs แต่ถึงแบบนั้นโชคก็ยังดีเพราะทีมที่มีได้รวมพลังใจกันเล่นและสามารถจบฤดูกาล 1980 – 1981 ไปนั้นด้วยสถิติ 45 – 37 แถมพวกเขาก็ยังสามารถบุกตะลุยเข้าสู่ Playoff รอบสองอีกด้วย แต่ก็เช่นเดิมเพราะความสำเร็จนี้ก็มาเพียงแค่ฤดูกาลสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากนั้นแล้วในปี 1984 ทาง Chicago Bulls ก็ต้องเสียผู้เล่นแกนหลักอีกคนอย่าง Theus ที่ถูกเทรดออกจากทีม หนำซ้ำในช่วงเวลานั้นเจ้าของทีมก็ได้ตัดสินใจไม่บริหารทีมต่อ และ ขายสิทธิของ Chicago Bulls ไปให้กับคนอื่น
ทว่าในปี 1984 นั้น Chicago Bulls เองก็ได้สิทธิดราฟต์เป็นอันดับที่ 3
และพวกเขาก็ได้ตัดสินใจเลือกเอาดาวรุ่งสุดร้อนแรงที่พวกเขาแทบไม่คาดคิดว่าคน ๆ นี้จะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้มากถึงขนาดนี้ โดยคนที่เขาเลือกมาในสิทธิดราฟต์อันดับที่ 3 ของพวกเขานั่นก็คือ ดาวรุ่งที่มีชื่อว่า ไมเคิล จอร์แดน
ทันทีตัวของ ไมเคิล จอร์แดน มาถึงเขาก็สามารถโชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงได้ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มเล่นในสังเวียน NBA จนทำให้ตัวของจอร์แดน กลายเป็นแกมหลักสำคัญของ Chicago Bulls อย่างรวดเร็ว เพราะตัวของจอร์แดนนั้นสามารถพาทีมเข้าสู่รอบ Playoff ได้อีกครั้ง แถมยังพ่วงตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมไปแบบไม่มีใครโต้แย้ง
ซึ่งเมื่อจอร์แดนสามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้จึงทำให้ Chicago Bulls ตัดสินใจที่จะสร้างทีมโดยมี จอร์แดน
เป็นแกนหลัก และในปีถัดมา Chicago Bulls ก็ได้ทะลุเข้าไปสู่รอบ Playoff อีกครั้งแต่ทว่าครั้งนี้กำแพงที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้อยู่นั่นก็คือทีมสุดแกร่งอย่าง เซลติก และผลก็ออกมาเป็นแบบที่หลาย ๆ คนคาดเอาไว้นั่นก็คือ เซลติก สามารถที่จะเขี่ย Chicago Bulls ตกรอบแรกไปได้ แต่ถึงแบบนั้น ตัวของไมเคิล จอร์แดน ก็ยังสามารถสร้างสถิติทำแต้มส่วนตัวไว้สูงถึง 63 แต้มในเกมเดียวเลยอีกด้วยต่างหา และสถิตินี้ยังนับได้ว่าเป็นการทำแต้มสูงสุดต่อหนึ่งนัดตลอดกาลในช่วง Playoffs จนถึงปัจจุบัน
และหลังจากนั้นต่อมาในฤดูกาล 1986 – 1987 Chicago Bulls ก็ได้เดินทางเข้ามาสู่รอบ Playoff อีกครั้งและงานนี้พวกเขาก็เจอกับ เซลติกตั้งแต่รอบแรก ซึ่งทาง เซลติกเองก็ยังคงโชว์ฟอร์มความเป็นทีมแกร่งได้อย่างยอดเยี่ยมจนส่งให้ทีมอย่าง Chicago Bulls ต้องตกรอบแรกไปด้วยฝีมือของ เซลติกอีกครั้ง และจากการตกรอบในครั้งนี้ ในฤดูกาล 1986 – 1987 Chicago Bulls เองก็ได้เริ่มเดินหน้าเสริมแกร่งทีมด้วยการดราฟต์เหล่าดาวรุ่งเข้ามาเพิ่มอีก โดยการเลือกเอา Olden Polynice และ Horace Grant เข้าสู่ทีม และส่ว Polynice ไปกับต่อให้กับ Sonics เพื่อที่จะดึงสุดยอดผู้เล่นที่เป็นตำนานอีกคนอย่าง Scottie Pippen เข้าสู่ทีม
ซึ่งการดราฟต์ในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ฤดูกาล 1987 – 1988 ผลงานของ Chicago Bulls ดูดีอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาสามารถจบด้วยสถิติอย่าง 50 – 30 นอกจากนั้นแล้วตัวสของ ไมเคิล จอร์แดน ก็ยังคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปครอง แต่ก็น่าเสียดายที่ Chicago Bulls เองก็ยังไม่สามารถที่จะครองบังลังก์แชมป์ได้สำเร็จเพราะพวกเขานั้น ถูกทีม Bad Boys แห่งยุคอย่าง Detroit Pistons ขัดขวางเอาไว้ 2 ปีติด โดยปีแรก Detroit Pistons ได้เขี่ยพวกเขาตกรอบ 2 และ ในปีถัดมา Detroit Pistons ก็สามารถปราบทีมอย่าง Chicago Bulls ลงในรอบชิงชนะเลิศ
จากการตกรอบในครั้งนี้ทำให้ในปี 1989 Chicago Bulls ได้มีการเปลี่ยนแปลงด้านโค้ชอีกครั้ง และพวกเขาก็ได้เลือกผู้ที่สร้างตำนานให้พวกเขาอย่าง Phil Jackson เข้ามาทำหน้าที่ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังโดนทีมอย่าง Detroit Pistons ตบร่วงไปในรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งที่ 3
แล้วเมื่อไหร่กันละที่ทีมอย่าง Chicago Bulls จะสามารถขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ในเวที NBA ได้ เอาไว้เดี๋ยวเรามาติดตามกันต่อในบทความหน้า dunkswin9