หากใครที่เป็นแฟน ๆ ของกีฬาบาสแล้วละก็ เราเชื่อเลยว่า อีกสิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องติดตามนอกจากผลงานของทีม รวมถึง ผู้เล่นคนดัง ๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือได้ว่าขาดกันไม่ได้นั่นก็คือ รองเท้าบาส เพราะในปัจจุบันนี้บรรดาเหล่ารองเท้าก็ได้ออกมาหลากหลายรุ่น แถมมูลค่าทางการตลาดของรองเท้าบาสเหล่านี้ยังถูกเพิ่มโดย การทำเป็นซิกเนเจอร์ของบรรดาเหล่านักบาสคนนั้น ๆ อีกด้วย ซึ่งบรรดาเหล่ารองเท้าอันเป็นซิกเนเจอร์ของผู้เล่นแต่ละคนก็มีให้เลือกให้สวมใส่กันอย่างมากมาย แต่ถ้าจะให้พูดถึงรองเท้าซิกเนเจอร์ที่โดดเด่นที่สุด และ ใคร ๆ ต่างก็ต้องรู้จักนั่นก็คือ รองเท้าอย่าง Air Jordan นั่นเอง แต่ถึงจะเป็นรองเท้าที่กลายเป็นตำนานขนาดไหนก็ตามมันก็ย่อมหนีสัจจะธรรมอย่างเมื่อมีจุดสูงสุดก็ต้องมีจุดต่ำสุดไม่ได้เช่นกัน แถมจุดต่ำสุดของรองเท้ารุ่นนนี้ยังมาเร็วมาก ๆ เลยอีกด้วย เพราะว่าจุดต่ำสุดของรองเท้านี้ก็คือ รุ่นที่ 2 แต่ทว่าโชคยังดีที่ทาง Nike ยังแก้เกมทันเนื่องจากพวกเขาได้ดึงชายคนหนึ่งเข้ามากู้วิกฤตในครั้งนี้ โดยชายผู้มากู้วิกฤตและพารองเท้า Air Jordan ฮิตติดลมบนมาโดยตลอดก็คือชายที่มีชื่อว่า ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์
ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ เกิดที่เมืองฮิลส์โบโร รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยฐานะของเขาก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับปานกลาง แต่สิ่งที่ทำให้ตัวของ ฮาตฟิลด์ โดดเด่นกว่าคนอื่นนั่นก็คือ ทักษะด้านกีฬา เนื่องจากคุณพ่อของเขานั้นเป็นโค้ชกีฬาระดับท้องถิ่นมันจึงทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ค่อย ๆ ซึมซับด้านกีฬาต่าง ๆ มาแบบไม่รู้ตัว
ซึ่งความโดดเด่นด้านกีฬาของเขาคนนี้เริ่มฉายแววเด่นตั้งแต่โรงเรียน เพราะไม่ว่าจะเป็นกีฬาอย่างบาสเกตบอล หรือ อเมริกันฟุตบอล รวมไปถึงกรีฑา เขาคนนี้ก็มีรายชื่อติดอยู่ในระดับ Top ของผู้เล่นเสมอ แต่ในขณะที่เขากำลังร้อนแรงถึงขีดสุด ทุกอย่างก็ดับวูบลงเพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนักระหว่างการซ้อม ซึ่งการบาดเจ็บในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ไม่สามารถกลับมาเล่นกีฬาได้อีกต่อไป
ซึ่งหลาย ๆ คนที่อยู่กับกีฬามาตลอดเมื่อเจอแบบนี้มันก็อาจจะมืดแปดด้าน
แต่ทว่ามันไม่ใช่กับ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ คนนี้ เพราะหลังจากที่เขาไม่สามารถเล่นกีฬาได้เขาก็ค้นหาเส้นทางชีวิตใหม่ของเขา ซึ่งอีกหนึ่งพรสวรรค์ของเขาก็คือ การวาดรูป
และเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้เขาตัดสินใจเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอย่าง University of Oregon School of Architecture ในสาขาการออกแบบ
ซึ่งในการออกแบบนี้นี่เองที่ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ได้ชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปด้านกีฬาของเขา
ด้วยการออกแบบอุปกรณ์กีฬาในวิชาเรียนต่าง ๆ ซึ่งเพราะแนวทางอันชัดเจน และ แน่วแน่นี่เองที่ทำให้ หลังจากเรียนจบเขาก็ตัดสินใจยื่นสมัครงานไปที่บริษัทกีฬายักษ์ใหญ่อย่าง Nike ทันที และทาง Nike เองก็ตอบรับ จึงทำให้เขาได้เข้ามาเป็นพนักงานของแบรนด์นี้ในปี 1981
ซึ่ง ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ใช้ชีวิตตามขนบธรรมเนียมของพนักงานบริษัทธรรมดาเป็นเวลาถึง 5 ปี
จนกระทั่งเขาได้รับการเลื่อนขั้นเป็นดีไซเนอร์เต็มตัวในปี 1985 และเขาก็สร้างสรรค์ผลงานแรกสุดสะเทือนวงการออกมานั่นก็คือ Nike Air Max ซึ่งรองเท้ารุ่นนี้ถือได้ว่าเป็นรองเท้าสวมใส่แบบสบาย ๆ ที่ทาง Nike ตัดสินใจใส่เทคโนโลยีที่มีฟองอากาศโปร่งแสงเข้าไป
ซึ่งช่วงเวลานั้นทางแบรนด์ Air Jordan เพิ่งเปิดตัวไป 2 รุ่น ซึ่งรุ่นแรกอยากที่หลาย ๆ คนทราบกันว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ทว่าพอรองเท้ารุ่นนี้เดินทางมาถึงรุ่นที่ 2 ทุกอย่างพังทลายลง โดยเหตุผลดังกล่าวสามารถย้อนกลับไปอ่านในบทความเก่า ๆ ของเราได้
แถมในขณะที่ Air Jordan 2 กำลังเผชิญหน้าปัญหาอย่างหนัก ปีเตอร์ มัวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสำคัฯที่ผลักดัน Air Jordan ได้ตัดสินใจลาออก แถมตัวของ ไมเคิล จอร์แดน ก็ดันมีท่าทางที่จะออกตามหลังจากหมดสัญญาอีกด้วย และเพราะสถานการณ์อบังคับนี้เองที่ทำให้ Nike ต้องออกแบบ Air Jordan 3 ให้มันปังกว่ารุ่นแรกเพื่อที่จะรั้งตัวพรีเซ็นเตรอ์คนเก่งของเขาเอาไว้ ซึ่งผู้ที่ได้รับหน้าที่มาออกแบบ Air Jordan 3 นั่นก็คือ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์
หลังจากเขาได้ภาระอันหนักอึ้งนี้มาครอง ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ก็ได้ทำการเดินทางเพื่อไปพบ ไมเคิล จอร์แดน
เพื่อสร้างสรรค์ Air Jordan 3 ขึ้นมา โดยโจทย์ของจอร์แดนที่ให้มานั่นก็คือ รองเท้าที่สวมใส่สบายทันทีที่เอาออกจากกล่อง และ ต้องสดใหม่โดยที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ เก็บเอาเรื่องนี้มาคิดอย่างเอาเป็น เอาตายจนในที่สุดเขาก็ปิ๊งไอเดีย โดยเขาต้องการให้รองเท้า Air Jordan 3 บ่งบอกถึงตัวของจอร์แดนกว่าที่แล้ว ๆ มา มันเลยทำให้เขาตัดสินใจลบโลโก้ Nike ออกจากรองเท้าอีกครั้งเหมือนกับที่ Air Jordan 2 เคยทำ แต่ครั้งนี้เขาได้แทนที่มันด้วยโลโก้ใหม่อย่าง Jumpman หรือท่ากระโดดดังค์ของจอร์แดนไปแทน จากนั้นจึงประดับด้วยลวดลายหนังงาช้างเพื่อทำให้ตัว Air Unit เด่นมากขึ้น ซึ่งการสร้างสรรคใหม่ของทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ คนนี้นี่แหละที่ทำให้ Air Jordan 3 แตกต่างจาก 2 รุ่นแรกไปอย่างสิ้นเชิง
และการออกแบบของ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ในครั้งนี้มันก็ได้สร้างสิ่งที่ Nike ต้องการได้สำเร็จ เพราะตัวของ ไมเคิล จอร์แดน ถูกใจรองเท้าซิกเนเจอร์รุ่นที่ 3 อันนี้มากจริง ๆ จนทำให้เขาตัดสินใจต่อสัญญากับ Nike แถมรองเท้ารุ่นนี้ยังกลายเป็นหนึ่งใน Air Jordan รุ่นที่ขายดีที่สุดแม้ว่าเวลามันจะผ่านมานานกว่า 3 ศตวรรษแล้วก็ตามที
และเพราะความสำเร็จนี้เองที่ทำให้ทาง Nike ไว้วางใจให้ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ จับคู่กับ Air Jordan
ต่อไป และเขาก็สร้างสรรค์ผลงานที่ Nike ไม่เคยผิดหวังออกมาเรื่อย ๆ โดยแต่ละรุ่นที่เขาวางคอนเซปต์ออกมาล้วนแตกต่างกัน แต่มันยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์สิ่งใกล้ตัวของ ไมเคิล จอร์แดน
และเพราะความสามารถอันโดดเด่นของเขานี้เองที่ทำให้สุดท้ายแล้ว ตัวของ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ก็กลายเป็นดีไซเนอร์คู่ใจของตำนานแห่งวงการบาสนี้ไป แถมความมสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ยังพัฒนาต่อไปถึงการเป็นเพื่อนซี้กันนอกเวลางานเลยอีกด้วย
จากชายผู้หลงรักกีฬาแต่ทุกอย่างต้องมาดับวูบลงเพราะอาการบาดเจ็บ สู่การเปลี่ยนเป้ามาเป็นดีไซเนอร์ผู้กอบกู้สถานการณ์ และ กลายมาเป็นเพื่อนซี้ของตำนานแห่งวงการ จงจำชื่อของชายผู้ผลักดันรองเท้า Air Jordan ไปสู่จุดสูงสุด dunkswin9