หากพูดถึงกีฬาบาสเก็ตบอลแล้วภาพของเหล่าผู้เล่นในหัวของคุณ ๆ ที่จินตนาการจะต้องเป็นภาพของบรรดาเหล่าผู้เล่นที่มีลีลาการเล่นอันสวยงามในการบุกเข้าไปทำคะแนน รวมถึงภาพของท่าชู๊ตสวย ๆ จากเส้น 3 คะแนนจนบอลพุ่งลงตาข่ายดังสวบ นั่นเอง
แต่ถ้าเกิดเราจะบอกคุณว่ามันกลับมีทีมอยู่หนึ่งทีมที่ได้ทำลายภาพลักษณ์เหล่านี้ทิ้งจนขาดวิ่น เพราะพวกเขาทั้งมั่วสุมเสพกัญชา , ทำร้ายร่างกาย , ข่มขู่กรรมการ รวมถึงพยายามข่มขืน คุณจะเชื่อหรือไม่ แต่ต่อให้คุณไม่เชื่อมันก็เกิดขึ้นแล้วในวงการบาส ซึ่งทีมที่มีความเถื่อนระดับขั้นสุดตามที่เราบอกมาทั้งหมดนี้ มันคือทีมที่มีชื่อว่า Portland Trail Blazers
โดยเรื่องราวสุดเถื่อนของ Portland Trail Blazers นั้นได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นยุค 2000
ด้วยการมาถึงของ ราชีด วอลเลซ นักบาสดาวรุ่งจากทีม วอชิงตัน บุลเล็ตส์ หรือชื่อทีมปัจจุบันนั่นก็คือ วอชิงตัน วิซาร์ดส์ นั่นเอง โดยเขาได้ถูกเทรดเข้ามาสู่ พอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ในปี 1996 ซึ่งเพียงฤดูกาลเดียวชื่อเสียงของเขาก็กระจายไปทั่วลีก แต่ไม่ใช่เพราะฐานะของนักบาสยอดฝีมือ แต่ทว่าเป็ยในฐานะของนักบาสหัวร้อนที่พร้อมจะบวกกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก๋า หรือ รุ่นเด็ก จนทำให้เขาคนนี้ถูกจับฟาล์วทางเทคนิคแทบนับครั้งไม่ถ้วน
แต่แน่นอนว่าคนเดียวมันคงไม่อาจสามารถสร้างตำนานได้หรอก ซึ่งคนที่มาร่วมสร้างตำนานให้กับ Portland Trail Blazers นั่นก็คือ ไอเซอาห์ “เจ.อาร์.” ไรเดอร์ โดยเขาคนนี้คือ ชูตติ้งการ์ดฝีมือดีจากทีม มินนิโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ที่สามารถทำผลงานโดดเด่นเป็นอย่างมากตั้งแต่ปีแรกที่เขาก้าวเท้าเข้าสู่ NBA แถมเขาคนนี้ยังคว้าตำแหน่งแชมป์ NBA Slam Dunk Contest ในปี 1994 มาครองได้อีกด้วย
ซึ่งหลาย ๆ คนก็อาจจะงงว่าดีกรีของ ไอเซอาห์ “เจ.อาร์.” ไรเดอร์ ขนาดนี้ทำไมเขาถึงถูกปล่อยดราฟ
ซึ่งเหตุผลมันมีอยู่ง่าย ๆ เพียงข้อเดียวเลยนั่นก็คือ พฤติกรรมนอกสนามสุดย่ำแย่ของเขานั่นเอง มันแย่ขนาดไหนนะเหรอ มันแย่ถึงขนาดที่ว่า เขาคนนี้ถูกฟ้องในข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกายหญิงสาว รวมถึงยังโดนจับในข้อหาครองครองกัญชา และ เล่นพนันผิดกฎหมายอีกด้วย
ถามว่าพอเขาย้ายมาพอร์ตแลนด์นั้นชีวิตของเขาดีขึ้นไหม ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะ เขาถูกจับในข้อหาครอบครองกัญชาที่เมือง ตั้งแต่ก่อนจะลงเล่นเกมแรกให้กับทีมด้วยซ้ำ
แต่ทว่าผลงานในสนามของ พอร์ตแลนด์ มันกลับช่างสวนทางกับพฤติกรรมแย่ ๆ ของบรรดาเหล่าลูกทีมเหลือเกิน เพราะว่าทีมของพวกเขายุคนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จจนทะลุเข้าสู่รอบเพลย์ออฟในฤดูกาลปี 1996 – 1997 และแน่นอนเมื่อมันประสบความสำเร็จในแนวทางนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจเสริมทีมด้วยนักบาสแบด บอย อีกคนนั่นก็คือ เดมอน สเตาดาไมร์ ผู้เล่นหน้าใหม่ที่พกตำแหน่งเล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในปี 1996
ซึ่งการเสริมทัพในครั้งนี้มันได้พาพอร์ตแลนด์เข้าสู่รอบชิงแชมป์สายตะวันตกในฤดูกาล 1998 – 1999
แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาต้องไปแพ้ 4 เกมรวดให้กับ ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส แต่ทว่ามันกลับเป็นแรงฮึกที่ทำให้ พอร์ตแลนด์ ทำให้ฤดูกาลต่อมาพวกเขาได้ตัดสินใจ สก็อตตี พิพเพน มาจาก ฮิวสตัน รอคเก็ตส์ ด้วยการเทรดแบบ 6 แลก 1 ซึ่งถือว่าเป็นการเทรดครั้งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ทีสุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็น่าเสียดายที่จังหวะนั้นเอง ไอเซอาห์ “เจ.อาร์.” ไรเดอร์ ก็ถูกเทรดออกไปเพื่อดึงตัว สตีฟ สมิธ เข้าสู่ทีมเช่นกัน
ถึงแม้จะเสริมทัพมากขนาดไหนก็ตามแต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขานั้นยังทำได้เพียงแค่เฉียดไป เฉียดมาเท่านั้น แต่ทว่าในขณะที่พวกเขากำลังเฉียดไปเฉียดมานี้ ความพังพินาศของพวกเขาภายในทีมก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เพราะในระหว่างเกมที่เป็นการเจอกันกับเลเกอร์ ราชีด วอลเลซ ได้ไปเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าใส่ อาวีดาส ซาโบนิส ผู้เล่นระดับเก๋าเกมของทีมเดียวกันเอง ซึ่งการกระทำนี้ได้ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นในที่จนทำให้ในที่สุด ซาโบนิส ตัดสินใจที่จะย้ายออกจากทีม
แต่ถามว่าทีมจะมีควาสำนึกไหม ตอบเลยว่าไม่ เพราะทีมยันได้เซ็นสัญญากับ รูเบน แพตเตอร์สัน
ผู้เล่นฟรีเอเยนต์ ที่เพิ่งโดนโทษกักบริเวณเป็นเวลา 15 วันเนื่องจากคดีล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงเขาคนนี้ยังถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นอีกด้วย แถมการมาของ แพตเตอร์สัน ยังกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ความห่ามของทีมนี้พุ่งสูงขึ้น โดยผู้เล่นแต่ละคนล้วนแล้วแต่สร้างคดีใหม่ ๆ มาให้เราได้เสพข่าวที่ชวนปวดหัวไม่แว้นในแต่ละวันเลยทีเดียว
แต่แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีจุดสิ้นสุด เพราะในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง เมื่อ วอลเลซ ได้ไปทำความผิดฐานข่มขู่ผู้ตัดสินจนทำให้เขาถูกแบนยาวไปถึงเจ็ดเกม และในที่สุดเขาก็ถูกเทรดออกจากทีมไป แต่ถึงอย่างนั้นผู้เล่นที่เหลือก็ยังพร้อมสร้างปัญหาแทน วอลเลซ ที่จากไปได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนทำให้ในที่สุด บ็อบ วิทซิตต์ ผู้บริหารที่อยู่กับทีมอย่างยาวนาน ได้ประกาศอำลาเทรลเบลเซอร์สในปี 2003 เนื่องจาก พอล อัลเลน ได้ชักชวนให้เขาไปคุมงานบริหารทีมอเมริกันฟุตบอล NFL
ซึ่งการทอดทิ้งไปในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้กลุ่มผู้เล่นตัวปัญหาไม่สามารถทำผลงานได้ดีเหมือนดังเช่นกัน ด้วยการตกรอบเพลย์ออฟ
รอบแรกไปถึง 3 ครั้งรวด แถมซ้ำร้ายคือพวกเขายังไม่ได้เข้าพลย์ออฟในปี 2003-04 และอีกสี่ฤดูกาลหลังจากนั้นเลยอีกด้วย จนทำให้บรรดาเหล่าผู้เล่นจอมนิสัยนี้ค่อย ๆ จางหายไปจากหน้าประวัติศาตร์ในที่สุด
แต่ถึงพวกเขาจะค่อย ๆ จางหางไป แต่การกระทำของพวกเขาเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของ NBA ว่า ในครั้งหนึ่งยังเคยมีทีมที่รวมเอาปัญหาเหล่าตัวปัญหามาไว้ในทีม และเหล่าตัวปัญหาเหล่านี้ยังเกือบที่เอื้อมมือไปแตะถึงบังลังก์แชมป์ได้อีกด้วย dunkswin9
เครดิต : สล็อตแตกง่าย