หากพูดถึงสโมสรกีฬา แน่นอนว่าสิ่งที่มีตามมานอกจากบรรดาเหล่านักกีฬา และ สตาฟโค้ช สิ่ง ๆ นั้นก็คือ บรรดาเหล่าแฟน ๆ ของสโมสรนั่นเอง และแน่นอนว่ายิ่งทีม ๆ ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่มันก็เหมือนเป็นการเพิ่มฐานแฟนคลับไปในตัว เพราะว่าเราต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่าปัจจุบันกีฬาเหล่านี้ไม่ได้ขายเฉพาะเพียงแค่ในประเทศอย่างเดียวเท่านั้น
ซึ่งถ้าเราจะมายกตัวอย่างให้เห็นกันจริง ๆ นั้น เราก็ขอยกถึงบาสเก็ตบอล NBA กันก่อนเลย โดยเราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันทีมต่าง ๆ ใน NBA เริ่มมีการขยายฐานแฟนคลับไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น และพวกสินค้าที่ระลึก รวมถึงมูลค่าในการถ่ายทอดสดไปยังที่ต่าง ๆ เองก็สามารถสร้างรายได้ให้กับทีมเหล่านั้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
แต่ทว่าคุณเชื่อหรือไม่ในสมัยก่อนนั้นกลับมีทีม ๆ หนึ่งที่เป็นทีมที่มีความสำเร็จติดมือมาอย่างล้นหลามชนิดที่ว่า ยุคนั้นคือยุคของพวกเขาเลย แต่ทว่าบรรดาเหล่าแฟนคลับของทีมกลับไม่ค่อยปลื้มกันความสำเร็จนี้เท่าไหร่นัก ซึ่งทีม ๆ นั้นก็คือทีมอย่าง
บอสตัน เซลติก นั่นเอง
โดยเรื่องนี้เราต้องขอย้อนความไปสู่ปี 1950 ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นมาจากการเดินทางเข้ามาของโค้ช เรด เอาเออร์บัค (Red Auerbach) ซึ่งตอนนั้นมีวัย 33 ปี โดยในตอนนั้น เอาเออร์บัค ถือได้ว่าเป็นชายคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะยึดติดกับขนบเดิม ๆ เพราะเขาคิดเสมอว่า ทำอย่างไรทีมถึงจะคว้าแชมป์มาครอง
และแน่นอนว่าการไม่ยึดติดกับขนบเดิม ๆ นี้เองที่มันทำให้เขามองข้ามปัญหาเรื่องสีผิว ซึ่งในยุค 50 นั้นการเหยียดเรื่องสีผิวนั้นค่อนข้างจะเป็นอะไรที่อยู่ในระดับรุนแรงมาก ๆ และแน่นอนว่าเรื่องการเหยียดผิวนี้มันก็ลามเข้ามาในวงการบาสเก็ตบอลเช่นกัน
ซึ่งการเหยียดนี้มันไม่ได้มีเพียงแค่ในวงการบาสเก็ตบอล NBA เท่านั้น แต่มันยังลามไปถึงวงการบาสระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งในตอนนั้นมีดาวรุ่งผิวดำคนหนึ่งที่ชื่อว่า ชัค คูเปอร์ ซึ่งเขาคนนี้มีดีกรีที่ไม่ธรรมดาเพราะว่าตอนนั้นเขาสามารถที่จะ
ติดทีมยอดเยี่ยมในระดับชาติได้ถึง 4 ฤดูกาล แต่ทว่าบรรดาเหล่าทีมต่าง ๆ ใน NBA ยังต่างพากันเมินเขา
และแน่นอนว่าผู้ไม่ยึดติดกับเรื่องแบบนี้อย่าง เอาเออร์บัค ก็ได้ตัดสินใจใช้สิทธิ์ดราฟในรอบที่ 2 คว้าตัวดาวรุ่งผิวดำคนนี่เข้ามาร่วมทีมเซลติกทำให้ คูเปอร์ กลายเป็นนักบาสเก็ตบอลผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ของ NBA ไปโดยปริยาย
และหลังจากนั้น เอาเออร์บัค ก็ยังคงเดินหน้าใช้ปรัญญาการสร้างทีมที่มุ่งหวังชัยชนะโดยไม่สนใจบรรดาเหล่าเสียงนก เสียงกา โดยเขายังได้เทรด เอา บิล รัสเซล (Bill Russell) มาร่วมทีมในปี 1956 ซึ่งในตอนนั้นทีมต้องแย่งกับ เซนต์หลุยส์ ฮอว์กส์ หรือ แอตแลนตา ฮอว์กส์ ในปัจจุบัน แต่ทว่าในตอนนั้น เมือง เซนต์หลุยส์ เป็นเมือที่ขึ้นชื่อว่ามีการเหยียดเรื่องสีผิวขั้นรุนแรงโดยไม่สนใจใด ๆ เลย มันจึงทำให้เป็นฝั่งของ เซลติก ได้นักบาสฝีมือเยี่ยมคนนี้มาครอง
ซึ่งการมาของ บิล รัซเซล นั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถเติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับทีมได้อย่างดี เพราะรูปร่างที่สูงถึง 206 เซนติเมตร แถมยังมีความแข็งแกร่งในเกมรับ และ การรีบาวด์ รวมถึงมีความคล่องตัวสูงนี้เองที่ทำให้เขาโดดเด่นเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นแล้วในตอนนั้นทีมยังได้ดึงนักบาสผิวดำเข้ามาอีกมากมายหลายคนไม่ว่าจะเป็น แซตช์ แซนเดอร์ (Satch Sanders), เคซี โจนส์ (K.C. Jones), แซม โจนส์ (Sam Jones) และ วิลลี่ นอลส์ (Willie Naulls) ซึ่งแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นระดับท็อปแทบทั้งสิ้น
ซึ่งเพราะส่วนผสมอันแข็งแกร่งนี้เองที่มันได้สร้างยุคแห่งตำนานของ เซลติก ขึ้นมา
เพราะว่าในยุคนั้น เซลติก สามารถที่จะกวาดแชมป์มาได้ถึง 11 สมัยตลอดระยเวลาที่ บิล รัสเซล ยังอยู่กับ แถมเพราะฟอร์มโคตรเทพของเขานี้เองที่ทำให้ตัวเขาได้รับรางวัลผู้เล่น MVP ถึง 5 สมัย และติดทีม NBA All Star ถึง 12 ครั้งเลย
เพราะความแข็งแกร่งของเหล่าผู้เล่นผิวดำของเซลติกนี้เองที่ในที่สุดมันก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการบาสเก็ตบอลอีกครั้ง เพราะทาง เอาเออร์บัค ได้ตัดสินใจส่งผู้เล่นผิวดำลงสนามเป็นตัวจริงทั้งหมด 5 คน ซึ่งการกระทำครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ NBA ซึ่งในเกมนั้นเป็นเกมที่ต้องเจอกับทีมที่ต่อต้านผู้เล่นผิวดำอย่าง เซนต์หลุยส์ ฮอว์กส์ อีกด้วย
แถมความแสบของชายที่ว่า เรด เอาเออร์บัค ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากที่เขานำพาความยิ่งใหญ่มสู่ทีมได้สำเร็จ เขาคนนี้ได้เปลี่ยนไปดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการทีมทั่วไป แต่สิ่งที่เด็ดมันก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะคนที่เขาตั้งมาเพื่อรับตำแหน่งโค้ชแทนนั่นก็คือ ผู้เล่นที่อยู่กับทีมอย่างยาวนานอย่าง บิล รัสเซล มันจึงทำให้ บิล รัสเซล กลายเป็นโค้ช ผิวดำคนแรกในวงการบาส NBA และ โค้ชผิวดำคนแรกในลีกกีฬาระดับประเทศของสหรัฐอเมริกาไปทันที
และจากการที่เราได้กล่าวมาทุกคนจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าการดึงผู้เล่นผิวดำของเซลติกเข้ามาสู่เกมลีกนั้น ถือได้ว่าเป็นการพิสูจน์อะไรได้อยากมากมาย และ ยังเป็นการสร้างตำนานบทใหม่แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเลยอีกด้วย แต่จุดทว่าบรรดาเหล่าเกมอันยอดเยี่ยมที่เหล่านักกีฬาบรรจงเล่นกันยอดเยี่ยมเพื่อสร้างความสำเร็จให้ทีม กลับไม่สามารถขายตั๋วได้หมดแม้แต่ครั้งเดียว หนำซ้ำยังมีที่หนังเหลือเป็นพัน ๆ
แต่ทางกลับกันทีมฮอกกี้ประจำเมืองที่ใช้สนามเดียวกันกลับขายตั๋วจดหมดเกลี้ยงทั้ง ๆ ที่ทีมไม่ได้มีความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันถ้าเทียบกับทีมบาส แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ต้องสืบเลย เพราะประเด็นทั้งหมดมันก็มาจากการเหยียดผิวในเมืองบอสตันนี่แหละ
แถมที่เจ็บปวดที่สุดนั่นก็คือ เซลติก หวังที่จะแก้ปัญหาเรื่องแฟน ๆ ไม่เข้าชมในสนามจึงทำได้ทำแบบสำรวจไปสอบถามแฟน ๆ และสิ่งที่พวกเขาได้กลับมาจากแบบสำรวจนี้ก็คือ ทีมมีผู้เล่นผิวดำเยอะเกินไป
ทางเซลติกเองก็เล็งเห็นถึงเรื่องของการขยายกลุ่มแฟน ๆ ออกไป และ ก็มองว่าหากทีมยังมีผู้เล่นผิวดำเป็นแกนหลักเช่นนี้มันก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายฐานแฟนคลับก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อทิศทางของการบริหาร และ มุมมองของบรรดาเหล่าผู้เล่นไม่ตรงกันมันจึงทำให้บรรดาเหล่าซูปเปอร์สตาร์ของทีม ต่างตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายออก เช่นเดียวกับ บิล รัสเซล จนกลายเป็นการปิดตำนานยุคอันแสนยิ่งใหญ่ของพวกเขาลงในที่สุด dunkswin9
เครดิต : สล็อตเว็บตรง