หากเราจะพูดเรื่องราวของรองเท้าบาสสักรุ่น ที่มันกลายเป็นกระแสฮอตฮิต และ ความตกตะลึงให้กับวงการรองเท้า รวมถึงรองเท้าแฟชั่นสักคู่หนึ่งแล้วละก็ เราเชื่อว่าชื่อของรองเท้าอย่าง Nike Air Jordan จะต้องกลายเป็นชื่อรองเท้าอันดับแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนจะต้องเอ่ยถึงอย่างแน่นอน
ซึ่งสิ่งที่มันสามารถการันตีความสำเร็จของรองเท้ารุ่นนี้ได้อย่างดีนั่นก็คือ รุ่นต่าง ๆ
ที่ออกมามากยถึงในปัจจุบันนี้มันก็มีจำนวนรุ่นที่เลยเลข 30 ไปมากอยู่พอสมควรแล้ว แถมรองเท้ารุ่น Air Jordan ยังเป็นรองเท้าอีกแบรนด์หนึ่งที่มูลค่าของแบรนด์สูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ทว่าท่ามกลางกระแสตอบรับ และ ความสำเร็จอย่างล้นหลามของรองเท้ารุ่นนี้นี่เอง มันกลับมีรอยด่างพร้อยเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะรู้แล้วว่ามันคือรุ่นใด แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้เราจะมาเฉลยให้ทุกคนได้ฟังกันว่า รุ่นที่กลายเป็นแกะดำของรองเท้ารุ่นนี้นั่นก็คือ รองเท้ารุ่น Air Jordan II นั่นเอง
ทำไมกันละทั้ง ๆ ที่รุ่นนี้เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ต่อยอดมาจากความสำเร็จของรุ่นแรกแท้ ๆ ทำไมมันถึงกลับไม่ได้ฮิต ไม่ปังเหมือนที่หวังกันเอาไว้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบของเรื่องราวนี้ด้วยกัน
และอย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันดีกว่า Air Jordan 1 นั้นถือได้ว่าเป็นรองเท้าที่สามารถสร้างปรากฏการณ์อันน่าตื่นเต้นให้กับทั้งวงการบาส และ โลกแห่งแฟชั่นอย่างมากมาย โดยหลักฐานที่ยืนยันความสำเร็จนี้ได้อย่างดีนั่นก็คือ การที่ Air Jordan ได้ขึ้นแท่นเป็นรองเท้าที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งเพราะกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีวี่แววที่จะลดลงเลยแม้แต่น้อยนี่เอง ที่มันกลายเป็นเรื่องกดดันอย่างมาสำหรับรองเท้ารุ่นต่อมาที่จะต้องมาสานต่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้
และในครั้งนี้ ปีเตอร์ มัวร์ ชายผู้ออกแบบ Air Jordan รุ่นแรกก็ได้ตัวช่วยจากทาง Nike มาเพิ่ม โดยทาง Nike ได้ส่ง บรูซ คิลกอร์ อีกหนึ่งดีไซเนอร์ฝีมือเยี่ยมมาช่วย มัวร์ ในการออกแบบครั้งนี้อีกด้วย ซึ่งระยะเวลาการผลิต Air Jordan 2 นั้นได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1986 ซึ่งตอนนั้นถือได้ว่าเป็นช่วงที่ ไมเคิล จอร์แดน อยู่บนจุดพีคสูงสุดของเส้นทางบาสเกตบอล อีกทั้งสไตล์การแต่งตัวของเขาก็เริ่มจัดจ้าน และ มีการใส่ของหรูดูแพงติดตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
และด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของ จอร์แดน นี่เองที่ทำให้โจทย์ของทั้ง 2 ดีไซเนอร์
ที่ได้รับมานั่นก็คือ การสร้างสรรครองเท้ารุ่นใหม่นี้ให้ดูเข้ากับไลฟ์สไตล์ของพรีเซ็นเตอร์คนเก่งคนนี้ แถมมันยังต้องเป็นรองเท้าที่มีประสิทธิภาพในสนาม รวมถึง นำแฟชั่นและใส่คู่กับสูทได้อีกด้วย
หลังจากที่ได้รับโจทย์มา สิ่งที่ทั้ง ปีเตอร์ มัวร์ และ บรูซ คิลกอร์ เห็นตรงกันโดยทันทีนั่นก็คือ รองเท้านี้มันไม่สามารถนำสิ่งที่เคยสร้างไว้ Air Jordan 1 มาต่อยอดได้อย่างแน่นอน ซึ่งถ้าพูดถึงความหรูหราแล้วประเทศแรกที่พวกเขาจะนึกถึงเลยนั่นก็คือ อิตาลี ทำให้พวกเขาทั้งคู่ตัดสินใจออกเดินทางสู่ประเทศอิตาลีในทันที
หลังจากถึงอิตาลีแนวคิดต่าง ๆ ของพวกเขาก็เริ่มพรั่งพรูออกมา
โดยการออกแบบที่พวกเขาตั้งใจจะทำนั่นก็คือ การเน้นไปที่ความเรียบง่าย แต่หรูหรา ด้วยการใช้โทนสีขาว กับ โทนสีแดง จึงทำให้พวกเขาจำเป็นที่จะต้องตัดโลโก้ของ Swoosh ที่มันมีความสปอร์ตมากเกินไปออก แต่ยังคงไว้ด้วยโลโก้ Air Jordan Wing ที่อยู่บนลิ้นรองเท้าเหมือนเดิม
แต่นอกจากสีสันที่ทำให้ดูหรูหราแล้ว Air Jordan 2 ยังใช้วัสดุหนังอิตาลีมาผลิตเป็นส่วนอัปเปอร์ และส่วนมิดโซลก็ใช้หนังอีกัวหน้าที่ราคาค่อนข้างสูงมาผลิต นอกจากนั้นตัวบริเวณพื้นรองเท้ายังได้มีการใช้วัสดุอย่างโพลียูรีเทนในการผลิตเพื่อการรองรับแรงกระแทกได้มากกยิ่งขึ้น
แถมเท่านั้นยังไม่พอ เพราะว่า ในช่วง 2 เดือนแรกที่มีการวางจำหน่าย Air Jordan 2 ถูกจำกัดให้ขายเฉพาะในร้านค้า 30 แห่งใน 19 เมืองของอิตาลีเพื่อเป็นการเพิ่มความพรีเมี่ยมในการจับจองรองเท้า ก่อนที่จะเริ่มวายขายจริงพร้อมกันทั่วโลก
จนกระทั่งในที่สุดรองเท้าคู่นี้ก็ได้ถูกสวมใส่จากพรีเซ็นเตอร์อย่างเป็นทางการเสียที โดย จอร์แดน
ได้สวมใส่รองเท้านี้เป็นครั้งแรกในวันที่ 6 กันยายน ปี 1986 ซึ่งการสวมใส่ครั้งนั้นเป็นการเล่นบาสเกตบอลการรกุศลกับศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศิษย์เก่านอร์ธแคโรไลนา แต่ทว่าสิ่งที่ถูกพูดถึงในวันนั้นกลับไม่ใช่เจ้ารองเท้าคู่นี้ แต่กลับเป็นโฆษณาของ Nike กับการลอยตัวกลางอากาศแบบสโลว์โมชั่นพร้อมด้วยสลแกนอย่าง rock-a-baby
ส่วนเกมอย่างเป็นทางการที่รองเท้าคู่นี้ได้สัมผัสสู่พื้นสนามนั่นก็คือ เกมในฤดูกาล 1986 – 1987 แถมการใส่รองเท้าคู่นี้ลงสนามนั้นเป็นเกมที่เจอกับ นิวยอร์ก นิกส์ ซึ่งจอร์แดนที่สวมใส่รองเท้ารองเท้านี้สามารถทำแต้มในเกมนั้นไปได้สูงสุดถึง 50 แต้ม แถมตลอดฤดูกาลนี้ ไมเคิล จอร์แดน ยังสามารถทำแต้มได้เกม 3,000 แต้ม และถูกบันทึกให้เป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ NBA ที่ทำได้ใน 1 ฤดูกาลต่อจาก แต่ก็น่าเสียดายที่ฤดูกาลนั้น จอร์แดน กลับต้องได้แต่ความว่างเปล่าเกล่าไป เพราะว่าเขาไม่ได้ทั้งแหวนแชมป์ และ ยังต้องมาพลาดตำแหน่งผู้เล่น MVP ให้กับ แมจิก จอห์นสัน
เมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงตอนนี้หลาย ๆ คนเริ่มเกาหัวกับแกรก ๆ แล้วใช่ไหมละ ว่าทำไมรองเท้าที่พาจอร์แดนสร้างความยิ่งใหญ่ขนาดนี้ทำไมมันขายไม่ดี โดยเหตุผลที่ทำให้รองเท้านี้ขายไม่ดีนั่นก็คือ การใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงนี่แหละ เพราะด้วยการที่ใช้วัสดุราคาแพงทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ Air Jordan รุ่นแรงถูกวางจำหน่ายเพียง 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ถือได้ว่าเขาทำพลาดไปอย่างมหันนั่นก็คือ การที่พวกเขาตัดโลโก้ Swoosh หรือไอ้เครื่องหมาย Logo ของไนกี้ออกนี่แหละ โดยพวกเขาลืมคิดว่าคนส่วนใหญ่เองที่ตัดสินใจซื้อรองเท้ารุ่นนี้ก็เพราะ มันมีควาเป็น Nike จากโล้โก้ Swoosh และความเป็น Air Jordan
นอกจากนั้นแล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ผิดพลาดของรองเท้ารุ่นนี้ ซึ่งจะไปโทษ 2 ดีไซเนอร์ไม่ได้เลยนั่นก็คือ
โจทย์ในครั้งนี้นี่เอง เนื่องจาก Nike ได้มองตลาดผิดไปเนื่องจากพวกเขามัวแต่โฟกัสไปที่ไลฟ์สไตล์ของ จอร์แดน มาเกินไป โดยที่ลืมไปว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเหมือนพรีเซ็นเตอร์ของพวกเขา
ซึ่งเพราะยอดการจำหน่ายที่ไม่เข้านี้เองที่ทำให้ทาง Nike ตัดสินใจที่จะยุติการผลิตไปถึง 7 ปีเต็ม ก่อนที่จะกลับมาผลิตแบบสั้น ๆ ในช่วงปี 1994 แล้วก็เงียบหายไปอีก 10 ปี แล้วกลับมาผลิตอีกครั้งในช่วงปี 2004 แต่ถึงแบบนั้นก็ยังศิลปินมากมายที่ต้องการจะนำรองเท้ารุ่นนี้ไปคอลแลบด้วย
แต่ถึงจะพยายามคอลแลบด้วยขนาดไหนก็ยังไง Air Jordan 2 ก็ไม่อาจที่จะลบคำสบประมาทได้เลยว่า มันคือหนึ่งในรองเท้า Air Jordan ที่เหมือนเป็นจุดด่างดำบนความอลังการของรองเท้ารุ่นนี้ dunkswin9
เครดิต : สล็อตแตกง่าย