หลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันดีกว่าบาสเกตบอลในสมัยก่อนกับสมัยนี้นั้นค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างกันมากอยู่พอสมควร เพราะว่าเมื่อสมัยก่อนหากเราย้อนความหลังไปสัก 30 – 40 ปี เราจะพบว่าการแข่งขันในสมัยนั้นเป็นการแข่งขันที่มีความเป็นกีฬามากกว่าการเอนเตอร์เทน แต่ทว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรหลาก ๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปตาม โดยเฉพาะเรื่องราวของแฟชั่น ซึ่งอย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่าทั้ง 2 นี้หลอมรวมจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว เพราะเราจะเห็นได้จากเสื้อผ้าสวย ๆ รองเท้าเท่ ๆ รวมถึงการแต่งตัวของบรรดาเหล่านักบาสในสนาม ซึ่งแน่นอนว่าในด้านนี้มันก็ถือได้ว่าเป้นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ทำให้บรรดาเหล่าเจ้าของแบรนด์นั้น ๆ จะต้อยิ้มแก้ปริ แต่ทว่ากว่าที่กีฬา และ แฟชั่น มันจะมาหลอมรวมกันได้แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ซึ่งคนที่ทำให้เส้นแบ่งของระหว่าง 2 เรื่องนี้ต้องมลายหายไปนั่นก็คือชายที่ชื่อว่า เดวิด สเติร์น
ก่อนที่จะไปดูเรื่องราวเหล่านั้นของ เดวิด สเติร์น เราต้อพาคุณย้อนไปดูในช่วงยุค 80 ถึง 90
โดยในตอนนั้นการแต่งตัวของนักบาส NBA นั้นจะไม่ได้มีอะไรที่ดูเยอะแยะเหมือนสมัยนี้ เพราะพวกเขาขอเพียงแค่ มีชุดแข่ง รองเท้า ให้ครบตามกติกาก็พอแล้ว แถมแบรนด์ดัง ๆ ที่เริ่มเข้ามาสนับสนุนในช่วงนั้น ก็ยังถือได้ว่ายังไม่มีเหลี่ยม และ ยังเคารพในกติกาของ NBA อยู่พอสมควร
จนกระทั่งปี 2000 แฟชั่นต่าง ๆ ก็เริ่มเผยแพร่อิทธิพลเข้ามาสู่วงการบาสจนทำเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือหลังมือเลยทีเดียว โดยหนึ่งในผู้เล่นยุคนั้นผู้เป้นเจ้าพ่อแฟนชั่นแบบจัดเต็มนั่นก็คือ AI หรือ อัลเลน ไอเวอร์สัน เจ้าของฉายา The Answer นั่นเอง
ด้วยความที่ อัลเลน คือหนึ่งในเจ้าพ่อนักบาสที่บอกเลยว่าโคตรอินดี้อยู่แล้ว เขาจึงมองกว่ากฎเรื่องการแต่งตัวของ NBA นั้นมีไว้แหก มันจึงทำให้เขานั้นจัดเต็มเรื่องการแต่งกายลงสนาม โดยแรงบันดาลในการแต่งตัวของเขาคนนี้ได้มาจากแฟชั่นแนวสตรีท และ ดนตรีฮิปฮอปมาผสมกัน ซึ่งแน่นอนว่าการแต่งกายสุดแนวนี้เองที่ทำให้มันไปโดนใจบรรดาเหล่าเพื่อนร่วมวงการมากมายจนเริ่มแต่งเลียนแบบกัน หนำซ้ำแฟนชั่นนี้ยังลามไปถึงนอกสนามอีกด้วย และเมื่อบรรดาเหล่านักบาสในวงการเริ่มหันมาแต่งตัวแนวแฟชั่นมากขึ้น ภาพลักษณ์ต่าง ๆ ของ NBA มันก็เริ่มดูเปลี่ยนไป จนทำให้ เดวิด สเติร์น คอมมิชชันเนอร์ หรือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดใน NBA ขณะนั้นต้องตัดสินใจเรียกผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง บรรดาเหล่าเจ้าของทีมต่าง ๆ เข้าหาลือเป็นการด่วน แต่ทว่าสิ่งที่มันทำให้เกิดการเรียกประชุมในครั้งนี้มันกลับไม่ใช่เพราะนักบาสทุกคนแต่งแฟชั่นฮิปฮอปมากเกินไป แต่มันมาจากรณีเหตุตะลุมบอนของ ดีทรอยต์ พิสตันส์ กับ อินเดียนา เพเซอร์ส ที่บรรดาเหล่าผู้เล่นในชุดฮิปฮอปเข้าตะลุมบอนกันในสนาม แถมมันยันลามไปถึงกลุ่มผู้ชมข้างสนามอีกด้วย ซึ่ง
เหตุการณ์นี้นี่เองที่ทำให้ภาพลักษณ์ของ NBA ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ซึ่งหลังจากการหาลือกัน สุดแล้วทาง เดวิด สเติร์น ก็ได้ออกกฎเรื่องการแต่งกายออกมา โดยกฎมันก็คือ ผู้เล่นทุกคนจะต้องแต่งการในชุดธุรกิจ , ชุดลำลองทางธุรกิจ หรือชุดตามประเพณีนิยม และขอสั่งห้ามสวมรองเท้าแตะโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดินทางมาถึงสนามก่อนเกม หรือเดินทางกลับที่พักหลังเกมก็ตามที แต่กฎเหล่านั้นยังไม่เจ็บจี๊ดเท่ากฎที่ห้ามการแต่งกายที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับฮิปฮอปโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการห้ามใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงยีนส์ หรือ แจ็คเก็ตขาดๆ รวมไปถึงสร้อยคอใหญ่ๆ แถมเรื่องนี้ยังซวยไปถึงโค้ชโดยบรรดาเหล่าโค้ชจะโดนกฏที่ระบุว่าต้องใส่สูทเท่านั้น
และแน่นอนแหละว่ากฎดังกล่าวมันย่อมส่งผลให้ใครหลาย ๆ คนที่เป็นแฟชั่นนิสต้าสไตล์ฮิปฮอปไม่พอใจ เดวิด สเติร์น เป็นอย่างมาก และมันทำให้เกิดเสียงบ่นด่าเป็นจำนวนมาตามมา แต่ว่าถึงจะมีเสียงสาปส่งเรื่องนี้เพียงใดก็ตามที แต่สุดท้ายแล้วเรื่องกฎออกมาทุกคนก็ย่อมปฏิบัติตาม จนทำให้สุดท้ายแล้วผู้เล่นหลาย ๆ คนที่บ่าด่าก็เริ่มเกิดความเคยชิน และ เริ่มเปลี่ยนทัศนคติว่า สิ่งเหล่านี้มันสามารถนำไปต่อยอดอะไรหลาย ๆ อย่างได้
ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ทำให้แฟชั่นต่าง ๆ มันเริ่มเปลี่ยนไปนั่นก็คือ ดเวย์น เหวด
โดยหลังจากที่เขาแต่งตัวตามกฎมาของ เดวิด สเติร์น มาตลอด เขาก็เริ่มที่จะเพิ่มออปชั่นในการแต่งตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวสวมใส่นาฬิกาสุดหรู นอกจากนั้นแล้วเจ้าพ่อแฟชั่นอย่าง รัสเซล เวสต์บรูค เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เพราะเขาคนนี้ได้เริ่มมิกซ์แอนด์แมตซ์เครื่องแต่งกายของเขาเข้ากับเครื่องประดับต่าง ๆ
และกฏของ เดวิด สเติร์น นี้นี่แหละที่ทำให้แฟชั่นแนวใหม่มันก้าวเข้าสู่บรรดาเหล่านักบาสรุ่นใหม่มีเหรอที่เบอร์ 1 ของรุ่นอย่าง เลบรอน เจมส์ จะไม่ลงสนามในเกมนี้กับเขาด้วย และเขาคนนี้นี่แหละที่ได้เปลี่ยจากแฟชั่นกึ่งฮิปฮอปเข้าสู่สายแฟชั่นเต็มตัว โดยลุคที่เรามักจะเห็นเขาบ่อย ๆ นั่นก็คือ ลุคของเขาในสูททรงแฟชั่นสุดเท่ แถมเจ้าตัวยังถือคติว่าทุกอย่างในตัวเขาต้องเนี๊ยบ แต่บางคนเองก็ไม่ได้มีหัวด้านแฟชั่นอย่าง เจมส์ ฮาร์เด้น แต่ถึงแบบนั้นเขาคนนี้ก็อยากที่จะเท่ไม่ต่างกับคนอื่น ๆ บ้าง มันจึงทำให้เขาคนนี้ตัดสินใจจ้าง เคลชา แมคลาวด์ สไตลิสต์มือทองที่สามารบันดาลทุกอย่างมามิกซ์ แอนด์ แมตซ์ ได้อย่างลงตัว ซึ่งการจ้างสไตลิชในครั้งนี้ของ เจมส์ ฮาร์เด้น นี่เองที่ทำให้เขาหล่อเท่ ขึ้นมาหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
แม้ว่ากฎตอนแรกของ เดวิด สเติร์น จะเป็นกฎที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนหมู่มากก็ตาม แต่ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็กลับกลายเป็ยค่านิยมใหม่ที่ส่งเสริมให้แฟชั่นต่าง ๆ ของเหล่านักบาสเริ่มก้าวกระโดดไปไกลกว่าที่มันควรจะเป็นอย่างมาก หนำซ้ำเมื่อ NBA มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น มันจึงทำให้บรรดาเหล่าแบรนด์เนมต่าง ๆ เองก็มีช่องทางในการหารายได้เพิ่มขึ้น
ซึ่งใครจะไปคิดกันละว่าแนวคิดของ เดวิด สเติร์น ที่แค่อยากจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเหล่านักบาส NBA มันจะกลายเป็นก้าวสำคัญสู่โลกของแฟชั่นได้ขนาดนี้ dunkswin9