คุณคยแปลกใจบ้างใหม่ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี ไม่ว่าจะถามคนที่อยู่นอกวงการบาสกี่คนต่อกี่คนว่า นักบาสเกตบอล NBA ที่เขารู้จักคือใคร คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นจะต้องกลายชายที่มีชื่อว่า ไมเคิล จอร์แดน อยู่เสมอ
ส่วนในด้านของคนที่อยู่กีฬาบาสอยู่เป็นประจำ หากเราจะให้พูดถึงถึงนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และ เป็นตำนานที่ไม่ว่าผู้ที่เพิ่งเคยดูบาส หรือ ดูมานานแล้วจะต้องพูดถึง ก็คงจะหนีไม่พ้น ไมเคิล จอร์แดน อีกเช่นกัน
ซึ่งแค่นี้เองเราก็เชื่อเลยว่ามันน่าจะเป็นข้อพิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่างได้แล้ว ไมเคิล จอร์แดน คือนักบาสที่ไม่เคยห่างหายไปในแม้ว่าเขาจะเลิกเล่นไปนานแล่วก็ตาม แต่ทว่าหลาย ๆ คนเองก็น่าจะทราบกันดีว่านอกจากชื่อเสียงของเขาในแวดวงบาสแล้ว เขาคนนี้ยังถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่ค่อนจะประสบความสำเร็จอย่างมากในโลกของธุรกิจ เพราะคนนี้คือได้ขึ้นแท่นเป็นนักกีฬาที่รวยที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของดวงอย่างแน่นอน ซึ่งเพราะอะไรที่ทำให้ชื่นของชายคนนี้ยังไม่เคยห่างหายไปในไหนโลกของกีฬา ในวันนี้เราจะมาวิเคราะห์ถึงเรื่องตรงนี้กัน
ในอเมริกานั้นได้มีสื่อเจ้าดังที่นิยมชมชอบในการจัดอันดับต่าง ๆ ที่มีชื่อว่า นิตยสาร ฟอร์บส์
อยู่ ซึ่งนิตยสารแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นนิตยสารที่สามารจัดอันดับได้น่าเชื่อถือมากที่สุดเพราะมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลมาจากที่ต่าง ๆ โดยครั้งหนึ่งทางนิตยสารนี้ได้เคยจัดอันดับนักกีฬาบาสเกตบอลที่รวยที่สุดในโลกขึ้น ซึ่งอันดับ 1 ของการจัดอันดับในครั้งนี้มันกลับไม่ใช่นักบาสที่เล่นอยู่อย่าง เลบรอน เจมส์ หรือ สเตฟเฟ่น เคอร์ แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นชื่อของ ไมเคิล จอร์แดน ที่เลิกเล่นไปนานกว่า 20 ปีแทน
ซึ่งสาเหตุนี้นั่นก็เพราะว่าในปี 2018 นั้นตัวของไมเคิล จอร์แดนสามารถทำรายได้รวม ๆ มากถึง 145 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้นอีก รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากยอดขายของ Air Jordan ไปแล้วถึงว 130 ล้าน ในขณะที่นักบาสระดับ Top ของ NBA คนปัจจุบันอย่าง เลบรอน เจมส์ กลับสามารถทำงานจากรองเท้าของเขาได้เพียงแค่ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น
ซึ่งถ้ามองยอดรายได้นี้ดี ๆ เราจะพบว่าเงินจำนวนนี้มันมากกว่าตอนที่ตัวของจอร์แดนกำลังเล่นอยู่ซะอีก
ซึ่งในชีวิตการเล่นของไมเคิล จอร์แดนนเขาทำรายได้จาการเล่นบาสไปทั้งสิ้น 15 ปีรวมเป็นมูลค่ากว่า 93,285,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าจำนวนเงินนี้จะดูเยอะมากขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าถ้าเอามาวัดกันผู้เล่นระดับ Top ด้วยกันในปัจจุบัน ถือได้ว่าเขามีรายได้น้อยกว่าอยู่มากเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้ไมเคิล จอร์แดนสามารถมีเงินจำนวนมากมายหมุนเวียนมาให้ใช้อยู่ตลอดเวลานี้แม้ว่าจะเลิกเล่นไปนานแล้วก็คือ เงินที่ได้มาจากรองเท้า Air Jordan นั่นเอง แถมในทุก ๆ ปีมูลค่าของแบรนด์นี้กลับพุ่งสูงเรื่อย ๆ โดยไม่ทีท่าว่าจะลดกลับลงมาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหลาย ๆ คนเองก็เริ่มถามว่า เพราะอะไร ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ซึ่งคำตอบมันก็อยู่ตรงที่ การก้าวข้ามจากแบรนด์กีฬานั่นเอง เพราะในสมัยแรก ๆ นิยามของรองเท้า Air Jordan นั่นก็คือ รองเท้าสำหรับใส่เล่นกีฬาบาสเกตบอล แต่ทว่าในปัจจุบันนี้นิยามนั้นมันได้ถูกพังทลายลงจนทำให้รองเท้านี้ได้กลายเป็นรองเท้าสำหรับสวมใส่แบบไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกกลุ่ม
แล้วถ้าถามว่าทำไมรองเท้ารุ่นนี้มันถึงได้กลายเป็นตำนาน เราก็ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วเจ้ารองเท้า Air Jordan ที่สร้างให้กับไมเคิล จอร์แดน นี้มันเด่นในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมาของมัน ซึ่งจริง ๆ แล้วเราเคยมีบทความที่เล่าถึงเรื่องราวตรงนี้ให้อ่านกันแบบเต็ม ๆ ไปแล้วโดยคุณสามารถที่จะย้อนไปหาบทความเหล่านั้นได้ในเว็บไซต์ของเรา แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะขอเล่าเรื่องราวของรองเท้า Air Jordan ให้ฟังกันแบบรวบลัดกัน
โดยในปี 1984 จอร์แดนได้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ ไนกี้ ด้วยมูลค่า 500,000 ดอลลาร์
เนื่องจากในตอนนั้นแบรนด์ใหญ่กลับกำลังมีปัญหาต่าง ๆ อยู่ ซึ่งหลังจากที่ไมเคิล จอร์แดนได้เซ็นสัญญากับไนกี้ ในอีก 1 ปีให้หลังต่อมา ทางไนกี้ก็ได้ส่งรองเท้าอันเป็นซิกเนเจอร์ของเขาคนนนี้ลงสู่ตลาด พร้อมกับชื่อ Air Jordan 1 ซึ่งเป็นสีแดง – ดำ – ขาว ที่อ้างอิงมาจากสีของ ชิคาโก้ บูลส์ ต้นสังกัด
แม้ว่ารองเท้านี้จะดีไซน์สวยงามก็ตามแต่ทว่าสีสันของรองเท้ารุ่นนี้กลับขัดกับกฎของ NBA ในสมัยนั้นจนทำให้ ทาง NBA สั่งปรับ ไมเคิล จอร์แดนเป็นเงินถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในทุกๆ ครั้งที่จอร์แดนใส่รองเท้าคู่นี้ลงสนาม แต่ทว่าทางไนกี้กลับเล็งเห็นถึงมูลค่าที่จะได้กลับมามหาศาล พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะยอมแบกรับค่าปรับนี้แทนจอร์แดนทั้งหมด ซึ่งจุดนี้เองนี่แหละที่ทำให้แบรนด์ได้ใช้เรื่องราวเหล่านี้มาเป็นจุดขาย จนทำให้หลาย ๆ คนซึบซับเรื่องราวนี้เข้าหัวสมองไปแบบไม่รู้ตัว
นอกจากเรื่องราวของสตอรี่รองเท้าที่สามารถนำเอามาขายได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือเรื่องของดีไซน์ ซึ่งเราต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่าแม้ตัวของไมเคิล จอร์แดนจะเลิกเล่นไปนานแล้วก็ตาม แต่ทว่าตัวของดีไซน์รองเท้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ถูกส่งออกมาวางจำหน่ายก็ถือได้ว่าโคตรล้ำอยู่เสมอ ซึ่งก็ต้องขอบคุณดีไซน์เนอร์คู่บุญของจอร์แดนอย่าง ทิงเกอร์ แฮทฟิลด์ ที่อยู่คู่กับรองเท้านี้มาตั้งแต่รุ่นที่ 3
โดยวิธีการดีไซนของ แฮทฟิลด์ นั้นมันมักจะเริ่มจากการนั่งคุยปรึกษากับตัวขอไมเคิล จอร์แดน
เพื่อหาแรงบันดาลใจ และเขาก็จะเอาแรงบันดาลใจเหล่านี้มาใช้ในการเล่าเรื่องลงไปสู่รองเท้า ซึ่งวิธีนี้เองที่ทำใหห้ Air Jordan ได้รับการกล่าวขานมาเรื่อย ๆ และมาพีคกันแบบสุด ๆ ในรุ่นของ Air Jordan 11 ซึ่งเขาได้นำแรงบันดาลใจของเครื่องตัดหญ้า และ แนวคิดของการออกแบบที่สามารถใส่ไปได้ทุกที่ทั้งในสนามกีฬา งานพิธี หรือ งานแฟชั่นมาออกแบบนั่นเอง แถมในรุ่นที่ 11 นี้ยังเป็นรองเท้าที่ไมเคิล จอร์แดนใส่ตอนคว้าแชมป์กับบูลส์หลังจาก Comeback กลับมาเล่นอีกครั้งด้วย
นอกจากนั้นแล้ว แม้ว่าตัวของจอร์แดนจะเลิกเล่นไปแล้ว ไมเคิล จอร์แดนก็ยังมีการต่อยอดรองเท้าของเขา ด้วยการดึงเอาบรรดาเหล่าผู้เล่น NBA ระดับสตาร์หลาย ๆ คนมาใส่รองเท้าแบรนด์ของเขา เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของการตลาด โดยเขาเรียกเหล่าสตาร์พวกนี้ว่า Jordan Team โดยผู้เล่นที่มาใส่รองเท้าของเขาก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็น คาร์เมโล่ แอนโธนี่, คริส พอล, รัสเซล เวสบรูค หรือนักบาสรุ่นใหม่อย่าง รุย ฮาจิมูระ
นอกจากนั้นแล้วตัวของไมเคิล จอร์แดนก็ยังเดินหน้าร่วมมือไปกับอีกหลาย ๆ กีฬาโดยยกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดนั่นก็คือ การให้การสนับสนุน สโมสร ปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรฟุตบอลชั้นนำของลีกเอิง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เองมันจึงทำให้ชื่อของชายอย่างไมเคิล จอร์แดนไม่เคยหายห่างไปไหนแม้ว่ากาลเวลาจะหมุนไปขนาดไหนแล้วก็ตาม dunkswin9
เครดิต : สล็อตแตกง่าย