เรื่องของความขัดแย้งนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ค่อนข้างจะอยู่กับทุกสังคม ซึ่งความหนักเบาของประเด็นความขัดแย้งต่าง ๆ นั้นมันก็มีหนักเบาแตกต่างกันไป แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งทางสังคมที่รุนแรง และ มันยังคงลากยาวมาจนถึงในปัจจุบันนี้ นั่นก็คือ ประเด็นการขัดเกี่ยวกับเรื่องของชาติพันธุ์ และ สีผิวนั่นเอง และประเด็นเรื่องสีผิวนี้ก็ยังถือได้ว่าอีกหนึ่งเรื่องที่เรามักจะพบกับบ่อย ๆ ในโลกของกีฬา และ ยิ่งกีฬาอย่างบาสเกตบอล NBA ที่เต็มไปด้วยบรรดาเหล่าผู้เล่นผิวดำมากมาย
ซึ่งหากใครจำได้ทางอเมริกาเคยมีประเด็นเรื่องสีผิวครั้งใหญ่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดแคมเปญ Black Lives Matter เพื่อเรียกร้องสิทธิประโยชน์ และ ความยุติธรรมต่าง ๆ ให้กับคนผิวดำขึ้น แต่ถึงแคมเปญนี้จะพยายามเรียกร้องเท่าสุดท้ายแล้วบรรดาเหล่าคนเบื้องสูงก็ไม่ได้มองเห็นปัญหาสีผิวที่เกิดในตอนนั้นเลย จนทำให้ทีมบาสเกตบอลชื่อดังอย่าง มิลวอกี้ บัคส์ จำเป็นที่จะต้องออกมาเรียกร้องเรื่องราวดังกล่าวด้วยการวอร์ค เอาท์ ไม่ยอมแข่ง
ซึ่งเรื่องราวก่อนหน้าที่ทีมอย่าง มิลวอกี้ บัคส์
จะตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ขึ้นคืออะไร คุณสามารถกลับไปหาอ่านย้อนหลังในบทความเก่า ๆ ของเราได้ แต่ในครั้งนี้เราจะขอมาพูดถึงเหตุการณ์หลังจากที่ มิลวอกี้ บัคส์ ตัดสินใจเรียกร้องปัญหาเรื่องสีผิวด้วยการวอล์ค เอาท์กันต่อ
ถึงแม้ว่าทีมอย่าง มิลวอกี้ บัคส์ จะออกมาเรียกร้องปัญหาเรื่องสีผิว และ มีบรรดาเหล่าทีมต่าง ๆ รวมถึงคงในวงการ NBA เห็นดีเห็นงามกันอยู่หลายคนก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าคนอื่น ๆ ในสังคมอเมริการจะเห็นด้วยกับการกะทำของ มิลวอกี้ บัคส์ โดยมีคนจำนวนมากมองว่า การกระทำของ เจค็อบ เบลค ต้นเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้ตำรวจต้องกระทำการยิงเขา 7 นัดเข้าที่หลัง
ซึ่งถ้าหากเราไปสืบประวัติจริง ๆ ของ เจค็อบ เบลค นั้นเราจะพบว่าตัวเขาเองก็มีประวัติทางอาชญากรรมก่อนหน้านี้ไม่ใช่น้อบ ไม่ว่าจะ หมายจับคดีล่วงละเมิดทางเพศ, บุกรุกบ้านเรือนของผู้อื่น และ ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งแน่นอนแหละว่าเมื่อตัวของ เจค็อบ ไม่ยอมที่จะฟังเจ้าหน้าทีตำรวจที่สั่งให้เขาหมอบลง แล้วเดินเข้ามาเปิดประตูรถ ในสถานการณ์ตรงนั้นตำรวจจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เขาหยิบออกมาจะมันจะไม่ใช่ปืน ซึ่งประเด็นนี้มันถือว่าเป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสีผิวใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
แต่ทางด้านฝั่งของผู้ที่สนับสนุน Black Lives Matter
เองก็มองว่า จริง ๆ แล้วตำรวจเองก็มีทางเลือกมากกว่านั้น เช่นพวกเขาอาจจะเปลี่ยนเป็นการยิงปืนขู่ หรือ บุกรวบผู้ต้องหาให้ล้มลงไปกับพื้นมากกว่าที่พวกเขาจะลั่นไกกดยับใส่หลังของชายผิวสีคนนี้ถึง 7 นัด และตอนนั้นการะแสปัญหาสีผิวก็ยังคงคุกกรุ่นอยู่ จึงไม่ควรรีบทำอะไรแบบลงไปด้วยซ้ำ
ดังนั้นมันจึงทำดารม่าเหตุการณ์ของ เจค็อบ เบลค นั้นถูกซ้อนทับกับอยู่ 2 เรื่องนั่นก็คือเรื่อง Black Lives Matter กับ เรื่องการประกาศจุดยืนของผู้เล่น NBA ซึ่งประเด็นแรกนั้นถือได้ว่าเป็นการต่อสู้กันของ 2 ขั้วความคิด นั่นก็คือทางฝั่งของ Black Lives Matter ที่มองว่าปัญหาด้านสีผิวนั่นก็คือ การที่คนผิวดำนั้นโดนกดขี่ และ ต้องกลายเป็ยเป้าหมายของการทำร้าย ส่วนฝั่งตรงข้ามก็จะมองว่า คนผิวดำมักจะชอบพูดถึงการเหยีดสีผิวมาใช้ ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวกับประเด็ดนนั้นเลยด้วยซ้ำ
โดยฝั่งที่ยึดถึงในแคมแปญอย่าง Black Lives Matter
นั้นได้บอกว่าหากเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับชายผิวขาว พวกเขาเองก็เชื่อว่าตำรวจจะไม่ได้ใช้มาตรการรุนแรงอย่างการยิงไปที่หลังถึง 7 นัดอย่างแน่นอน แต่ทว่าฝ่ายที่ไม่ได้สนับสนุนก็ได้โต้ตอบความคิดนี้ว่า จริง ๆ แล้วประเด็นเรื่องสีผิวไม่ได้เกี่ยวข้อ แต่มันเกี่ยวข้อกับที่ตัวของ เจค็อบ นั้นขัดคำสั่งของเจ้าหน้าที่ต่างหาก
แต่ถึงแบบนั้นแล้วประธานาธิบดีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ เองก็ปฏิบัติตัวอะไรไม่ต่างจากลุงแถวบ้านเราเลย เพราะเขาไม่ออกมาพูดอะไรให้มันเกิดประโบขน์ แถมยังทวิตข้อความว่า เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุเผาบ้าน เผาเมือง หรือใช้ความรุนแรงเด็ดขาด
จบประเด็นดราม่าเรื่องสีผิวประเด็นแรกกันไป ตอนนี้มาถึงอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่อยู่ในโลกกีฬาอย่างการ วอร์คเอ้าท์ ของ
มิลวอกี้ บัคส์ ซึ่งประเด็นนี้ได้กลายเป็นที่วิจารณ์ว่า มันควรแล้วเหรอที่นักบาส NBA จะเอาเรื่องราวของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ากีฬา
ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นทางความคิดนี้ก็แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นเดียวกัน โดยฝ่ายแรกก็มองว่า หน้าที่ของนักบาส NBA คือการลงแข่งขัน พวกเขาจึงควรที่จะลงแข่งขันกันต่อไปโดยไม่ต้องเอาความรู้สึกส่วนตัวมาสร้างความวุ่นวาย ซึ่งการที่ทีมอย่าง มิลวอกี้ บัคส์ ตัดสินใจไม่แข่งขันในเกมนั้นเพราะปัญหาเรื่องสีผิว มันได้กระทบต่อหลายฝ่ายที่ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นทีคู่แข่งนัดนั้นอย่าง อย่างออร์ลันโด้ เมจิก ที่ต้องเลื่อนโปรแกรมตามไปด้วย นอกจากนั้นบรรดาเหล่าทีมถ่ายทอดสดเองก็จำเป็นที่ต้องรื้อแผนใหม่เกือบทั้งทีม
นอกจากนั้นแล้วยังมีหลาย ๆ คนเปรียบเทียบว่ายังมีคนอีกหลาย ๆ อาชีพที่ไม่พอใจประเด็นสีผิวนี้ที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะหยุดงานไปประท้วงได้ แต่ทว่านักบาส NBA กลับสามารถประกาศหยุดงานกันได้แบบดื้อ ๆ ซึ่งถ้าเป็นพนักงานบริษัท การกระทำแบบนี้อาจส่งผลให้ถึงขั้นไล่ออก และอีกอย่าง หากพวกเขาอยากจะประท้วงเรื่องสีผิว คุณก็สามารถที่จะออกไปประท้วงนอกสนามก็ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอากีฬามาเป็นตัวประกัน
แต่ฝั่งที่ทางสนันสนุนนักบาส NBA ก็ได้แสดงความคิเห็นว่า นี่มันก็เป็นเรื่องปกติของสังคมที่ทางบรรดาเหล่าคนที่มีควาสามารถชักจูงใจคน สามารถที่จะใช้พลังของตัวเองในการเปลี่ยนให้สังคมไปในทางที่ดีขึ้น และยิ่งเป็นประเด็ดละเอียดอ่อนอย่างเรื่องสีผิวแล้วด้วย ซึ่งการบอนคอต์นในครั้งนี้มันไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วนสีผิวอย่างทันทีหรอก แต่มันก็ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่มันจะแสดงให้เห็นว่า ตัวเหล่านักกีฬาเองก็มีจุดยืนทางสังคมไม่ต่างอะไรกันประชาชนทั่วไปเหมือนกัน dunkswin9