หากเราจะพูดถึงนักกีฬาบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียง และ เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกนั้น คนแรกที่เราจะต้องนึกถึงก่อนเลยเป็นอันดับแรกกนั่นก็คือ ชายที่มีชื่อว่า ไมเคิล จอร์แดน และเพราะชื่อเสียงอันโด่งดังของเขานี้เองที่ทำให้บรรดาเหล่าสปอนเซอร์ต่างก็วิ่งเข้าหาตัวเข้ากันอย่างจ้าละหวั่นยกตัวอย่างเช่น Nike และแน่นอนว่าบางทีสปอนเซอร์นั้นก็ไม่ได้มาเพียงแค่รูปแบบของสิ้นค้า แต่บางทีมันยังมาในรูปแบบขององค์กร และ หนึ่งในองค์กรที่วิ่งเข้ามานั่นก็คือ องค์กรที่มีชื่อว่า โอลิมปิก
เนื่องจากในโอลิมปิกปี 1992 นั้น ทีมบาสของอเมริกาที่ถือได้ว่าเป็นดรีมทีม
ในขณะนั้นจะมีนักบาสระดับซุปเปอร์สตาร์มาลงแข่งในนามของทีมชาติกันอย่างมากมาย และ หนึ่งในผู้เล่นตัวหลักที่จะได้มาลงเล่นในโอลิมปิกนี้อย่างแน่นอนก็คือ ไมเคิล จอร์แดน ซึ่งทาง โอลิมปิก เองก็คาดหวังที่จะใช้ชื่อ จอร์แดน นี้แหละที่จะมาช่วยโปรมทให้กับพวกเขา แต่ทว่ามันกลับเจอกว้างขวางคอชิ้นใหญ่ โดยผู้ที่หาญกล้าจะมาขัดขวางกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ชาตินั้นก็คือ Nike สปอนเซอร์คู่ใจของ ไมเคิล จอร์แดน นั่นเอง
จุดเริ่มต้นของ Nike นั้นเราต้องย้อนยุคไปสู่ยุค 80 ซึ่งในตอนนั้นทาง Nike
ยังเป็นเพียงบริษัทผลิตสินค้ากีฬาธรรมดา ซึ่งยังไม่อาจจะมาเทียบรัศมีกับแบรนด์ชั้นนำอย่าง อาดิดาส ได้ด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้นก็ตาม สินค้าของ Nike เองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะรองเท้าวิ่งซ่อนค่อนข้างที่จะได้รับการยอมรับด้านคุณภาพมาก ๆ เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเองพวกเขาก็ยังไม่สามารถที่สร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ของตัวเองได้ดีนัก
แต่แล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Nike ก็มาถึง เพราะท่ามกลางสงครามการแย่งความเป็นเบอร์หนึ่งกันนั้น ทางไนกี้ก็ได้ตั้งแผนการว่า แบรนด์ของพวกเขาจะไม่ได้เน้นไปที่การสร้างสินค้าระดับคุณภาพคัพแก้ว แต่พวกเขาเน้นไปที่ความรู้สึกผูกพัน ระหว่าง ลูกค้ากับแบรนด์ โดย Nike ได้เสนอให้เปลี่ยนเสื้อผ้ากีฬาให้กลายนเป็นวิถีชีวิต และ คนจะไม่ต้องซื้อรองเท้า เพราะเป็นรองเท้าคุณภาพดี แต่จะต้องซื้อเพราะมันคือรองเท้า Nike
Nike ตั้งใจที่จะสร้างความจงรักภักดี ระหว่างผู้ซื้อกับแบรนด์ โดยเน้นให้คนซื้อที่แบรนด์มากกว่าซื้อสินค้า และการที่จะสร้างความสำเร็จนี้ได้ทาง Nike จึงต้องหานักกีฬาที่ยิ่งใหญ่สักคน มาเพื่อแสดงถึงความเป็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาที่เหนือกว่าวงการกีฬาทั้งหมด ทำให้สุดท้ายแล้ว Nike ก็ได้เลือก ไมเคิล จอร์แดน ที่เพิ่งถูกดราฟต์เข้ามาในลีก NBA ในปี 1984 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ ซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างกล้าหาญมากเนื่องจากในตอนนั้นตัวของ จอร์แดน ยังไม่ได้ประเดิมสนามในลีกอาชีพเสียด้วยซ้ำ
แต่สุดท้ายแล้วผลงานของไมเคิล จอร์แดน ก็ทำให้ Nike รู้ว่าเขาไม่ได้เลือกคนผิด
เพราะว่าตัวของจอร์แดนนั้นสามารถไขว่คว้าความสำเร็จมาครอบครองเอาไว้อย่างมากมาย และอิทธิพลของเขาก็ไปไกลเกินกว่าวงการกีฬา เพราะตัวของจอร์แดนได้กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าระดับโลกมากมาย และยังกลายเป็นดาราภาพยนตร์ จนทำให้แม้แต่ในหมู่ดารา นักร้อง ศิลปิน ยังอยากที่จะเจอเขาแบบตัวเป็น ๆ เลยด้วยซ้ำ
แน่นอนแหละว่ายิ่งจอร์แดน ยิ่งโด่งดังมากเท่าตัวของแบรนด์ Nike ก็ยิ่งโด่งดังตามมากขึ้นเท่านั้น จนทำให้หลาย ๆ คนยังถึงกับแซวเลยว่าจริง ๆ แล้วตัวของ ไมเคิล จอร์แดน ก็เปรียบเสมือนกับโฆษณาเคลื่อนที่ของ Nike เลยทีเดียว เพราะไม่ว่าเขาจะไปไหน หรือเป็นผลิตภัณฑ์อะไรที่อยู่บนตัวของ ส่วนใหญ่มันก็มักจะเป็นโลโก้ของ Nike อยู่เสมอ
จากที่ Nike เป็นแบรด์ซึ่งมียอดรายรับไม่ถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 1984
กลับกลายเป็นแบรด์ทีมียอดรายได้พุ่งสูงขึ้นเป็น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1988 และเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในอีก 2 ปีถัดมาซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจากชื่อเสียงของ ไมเคิล จอร์แดน และเพราะผลประกอบการที่พุ่งขึ้นแบบเห็นได้ชัดนี้เองจึงทำให้หลาย ๆ แบรนด์เล็งเห็นว่าตัวของจอร์แดนนี่แหละที่จะเป็นตัวทำเงินชั้นดี และ หากดึงเขามาร่วมได้ ตัวแบรนด์ต่าง ๆ ก็จะสามารถโกยเงินได้มาก และแน่นอนว่า องค์กรอย่าง โอลิมปิก ก็คิดแบบนี้เช่นกัน
โดยโอลิมปิก เกมส์ ในปี 1992 ที่สเปน นั้นถือได้ว่ารับโชคนี้ไปอย่างจัง เพราะว่าในปีนั้นถือได้ว่าเป็นปีแรกที่ทางอเมริการตัดสินใจส่งนักกีฬาอาชีพในลีก NBA เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้เกิด ดรีมทีม แห่งโลกบาสเกตบอลที่ทำให้โลกสั่นสะเทือน และ ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ โดย ไมเคิล จอร์แดน ยอมเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันนี้ทันที เนื่องจากตัวของจอร์แดนก็มีจิตสำนึกทำเพื่อชาติอันแรงกล้าอยู่แล้ว และแน่นอนเมื่อทางโอลิมปิกได้ยินแบบนั้น งานนนี้พวกเขาก็ลูบปากรอเลยทีเดียว เพราะว่าทางหลาย ๆ บริษัทต่างพร้อมที่จะเกาะการแข่งขันครั้งนนี้เนื่องจากมี จอร์แดน ยกเว้นก็แต่ Nike
Nike นั้นมองว่าตัวโอลิมปิกนั้นกำลังจะมาชุบมือเปิป เพื่อโกยเงินจากนักกีฬาในสังกัดของพวกเขา เพราะทางไนกี้เองก็มองว่าตัวของ ไมเคิล จอร์แดน นั้นก็เปรียบเสมือนทรัพย์สินของบริษัท และ พวกเขาเองก็จะไม่ยอมให้ใครมาขูดเอาเงินจากนักบาสในสังกัดของเขาง่าย ๆ
และเรื่องราวนี้ของ Nike กับ โอลิมปิก ที่หวังจะงัดข้อกันมันจะมีบทสรุปเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อไปเอาไว้ เดี๋ยวเรามาติดตามกันต่อในบทความหน้า dunkswin9