ขึ้นชื่อว่า กีฬา แล้ว วิธรการเล่นนั้นล้วนแล้วแต่มีมากมายหลายแบบ ซึ่งบางกีฬาก็เป็นกีฬาประเภทที่เล่นคนเดียว โดยมีขู่แข่งคนสำคัญนั่นก็คือจิตใจของตัวเองว่าจะสามารถทำได้นิ่ง และ เหนือกว่าคู่แข่งขันอื่นมากแข่งไหน แต่บางกีฬานั้นก็ทำเป็นที่จะต้องมีการแข่งขันแบบเป็นทีม ยกตัวอย่างเช่น กีฬาอย่าง บาสเกตบอล แน่นอนว่าทีมบาสแต่ละทีมนั้นย่อมมีสตาร์ดัง ๆ เป็ยของตัวเอง แต่ทว่าบรรดาเหล่าสตาร์ดังเหล่านั้นหากไม่มีเพื่อนร่วมทีมที่แล้ว บางทีเขาก็ไม่อาจที่จะโชว์ฟอร์มสุดแข็งแกร่งได้เหมือนดังเช่นทุกวันนี้เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การเล่นเป็นทีมของกีฬาสำคัญมาก ๆ นั่นก็เพราะว่า ผู้เล่นที่อยู่ในสนามของทีมบาสนั้นค่อนข้างที่จะน้อยเพราะว่ามีฝั่งละเพียง 5 คนเท่านั้น แถมเกมรุก และ รับ ก็ยังถือว่าต้องทำเร็วคิดเร็ว จึงทำให้การเล่นที่สอนประสานกันนั้นค่อนข้างที่จะจำเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งเพราะการเล่นเป็นทีม แต่ว่าจะเป็นจะต้องใช้คนที่มีประสิทธิภาพทุกตำแหน่งนี้เองที่มันทำให้เกิดแนวคิด แนวใหม่ขึ้นมา ซึ่งแนวคิดนั่นก็คือ แนวคิดที่เรียกว่า บิ๊ก ทรี
ก่อนที่จะมาเริ่มต้นกับตำนานของบิ๊ก ทรีนั้น เราต้องพาคุณย้อนเรื่องราวกลับไปสู่ศตวรรษ 1970
ซึ่งในตอนนั้นบรรดาเหล่าทีมต่าง ๆ ในลีก NBA นั้นประสบปัญหาการเทรดผู้เล่นเก่ง ๆ เป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่เพราะไม่มีดาวรุ่งเก่ง ๆ เกิดขึ้นมาหรอกนั้น แต่ทว่าบรรดาเหล่าผู้เล่นเก่ง ๆ ตอนนั้นมีความจงรักภักดีกันสโมสรของตัวเอง จนไม่คิดที่จะย้ายไปเล่นทีมอื่นนั่นเอง แถมในตอนนั้นกีฬาบาสเกตบอล ยังเป็นมีใช้แนวคิดอย่าง ผู้เล่นคนเดียว หรือ 2 คน ก็แบกทีมทั้งทีมได้อยู่แล้ว
ซึ่งผู้ชมเกมบาสในสมัยใหม่ที่คุ้นกับบิ๊ก ทรีอาจจะยังนึกภาพไม่ออกของการที่ผู้เล่นคนเดียวแบกทีม ดังนั้นเราขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพนั่นก็คือ ชายอย่าง วิล เชมเบอร์เลน ผู้ถือครองสถิติทำคะแนนสูงสุดในเกมเดียวถึง 100 แต้ม ซึ่งถ้าหาเล่นเป็นทีมจริง ๆ เขาคนนี้คงไม่สามารถที่ทำได้อย่างแน่นอน แถมชายผู้ที่กลายเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ NBA ที่ยากจะทำลายนี้ ยังอยู่โยงกับทีมอย่าง ฟิลาเดลเฟีย วอร์ริเออร์ส หรือ โกเด้นสเตท วอร์ริเออร์ส ในปัจจุบัน อย่ายาวนานถึง 10 ปีเต็มด้วยกัน
ทว่าหลังจากที่กีฬาบาสเริ่มแพร่หลายคน และ มีคนนิยมมากขึ้น แน่นอนแหละว่าบรรดาเหล่าทีมต่าง ๆ เองก็ต้องการความสำเร็จเพื่อมาดึงดูดแฟน ๆ เช่นกัน มันจึงทำให้พวกเขาเริ่มคิดหาวิธีที่จะสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่ขึ้น และแนวคิดที่หลาย ๆ ทีมเริ่มมองเห็นเค้าราง ๆ เหมือนกันนั่นก็คือ การมีสตาร์ประจำทีมมากว่า 1 คน เพื่อให้บรรดาแฟนคลับได้ติดตามกันไปแบบยาว ๆ และทีมที่คิดเร็วทำเร็วที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นทีมอย่าง บอสตัน เซลติก ซึ่งนั่นเองมันก็เหมือนกับเป็นจุดเริ่มต้นของบิ๊ก ทรี
โดยพวกเขานั้นเริ่มต้นด้วยการดราฟท์ดาวรุ่งสุดร้อนแรงอย่าง แลร์รี่ เบิร์ด
เข้ามาในการดราฟท์เป็นอันดับที่ 6 ในปีก 1978 แต่แน่นอนแหละว่าแนวคิดของการใช้สตาร์คนเดียวมันเริ่มไม่ค่อยประสบผลสำเร็จทเท่าไหร่แล้ว มันจึงทำให้ตอนนั้นเซลติกยังไม่สามารถที่จะควานหาความสำเร็จได้สักที ซึ่งในตอนนั้นผู้บริหารอย่าง เรด เออแบช ก็ได้เห็นแววลาง ๆ ของทีมบ้านใกล้เรือนเคียงของเซลติกอย่าง ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส ที่ตอนนั้นทีมี 2 คู่ดูโอ้สุดแกร่งอย่าง คารีม อับอุล จาบาร์ และ แมจิค จอห์นสัน อยู่ มันจึงทำให้ เออแบช ลองตัดสินใจเลียนแบบโมเดลนี้ โดยการดราฟเอา เควิน แมคเฮล เข้ามาในปี 1980 และ ตามมาด้วยการเทรดเอา โรเบิร์ต แพริช ต่อ และทันทีที่ เบิร์ด , แมคเฮล และ แพริช ได้มาประสานงานกัน มันก็เกิดการเล่นอันน่าตื่นตาตื่นใจขึ้น จนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว NBA และนั่นแหละคือครั้งแรกที่ทำให้โลก NBA ได้เริ่มรู้จักกับคำว่า บิ๊ก ทรี

แน่นอนว่าเมื่อสิ่งที่บิ๊ก ทรีของเซลติกทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปทั้ง NBA ผู้ที่โดนลอกแบบไปอย่าง เลเกอร์ส ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้เช่นกัน มันจึงทำให้เขาจำเป็นที่จะต้องดึงผู้เล่นคนใหม่เพื่อมาสร้างยุคบิ๊ก ทรีมั่งเช่นกัน มันจึงทำให้พวกเขาดราฟท์ผู้เล่นอย่าง เจมส์ เวอร์ตี้ เป็นคนแรกในการดราฟท์ปี 1982 และค่อย ๆ ประคองทีมไปเรื่อย ๆ จนทำให้ทีมมีผู้เล่นสุดแข็งแกร่งที่สามารถประสานกันได้อย่างลงตัวนั่นก็คือ เวอร์ตี้, คารีม และเมจิค
ซึ่งการเล่นของบิ๊ก ทรีในยุคนั้นก็ถือได้ว่าเป็นอะไรที่โคตรลงตัวแบบสุด ๆ
จนทำให้ทุกคนต่าตั้งฉายาให้ 3 ประสานของเลเกอร์สว่า โชว์ไทม์ ซึ่งหลังจากที่การมีซุปเปอร์สตาร์ในทีมถึง 3 คนนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงแล้ว มันเลยทำให้ทุกคนเริ่มเห็นว่ากีฬาบาสเกตบอลนั้นเริ่มเป็นสิ่งเอนเตอร์เทนมากขึ้นเนื่องจากการประสานงานอันสวยงามของผู้เล่นดาวดังทั้ง 3 มันช่างเป็นอะไรที่ดูเพลินตา แถมเรตติ้งในการถ่ายทอดสด และ การขายตั๋วก็ดีวันดีคืน
แต่ถ้าถามว่าผู้เล่นบิ๊ก ทรีอันไหนที่คนรู้จักมากที่สุด เราก็ยังต้องขอยกให้กับเจ้าเดิม นั่นก็คือ ชิคาโก้ บูลส์นั่นเอง
ซึ่งบิ๊ก ทรีที่ว่านั้นก็คือ การประสานงานกันของ จอร์แดน และ พิพเพ่น เหมือนดั่งเช่นยุคแรกเริ่ม แต่ทว่าในครั้งนี้ผู้ทีเข้ามาเติมเต็มกลับเป็นโจทย์เก่าของ ชิคาโก้ บูลส์ อย่าง เดนนิส ร็อดแมน
ซึ่งแม้ว่าผลงานนอกสนามของบิ๊ก ทรีนี้จะไม่ค่อยมีความแน่นแฟ้นหรืออะไรกันมากนักก็ตามที
แต่ผลงานในสนามของทั้ง 3 คนนี้กลับเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็คแบบสุดยอด เพราะว่าทาง ฟิล แจ็คสัน โค้ชในตอนนั้นได้ตัดสินใจแบ่งหน้าที่อันชัดเจนให้ทั้ง 3 คน นั่นก็คือ จอร์แดนทำแต้ม พิพเพ่นทำเกม ร๊อดแมนรีบาวด์ ซึ่งนี้แหละที่กลายเป็นกุญแจสำคัญ และ ทำให้ชิคาโก้ บูลส์ กลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ด้วยการกวาด 3 แชมป์ติดอีกครั้ง และ สร้างชื่อเสียงของบิ๊ก ทรีให้ทุกคนได้รู้จักกันในชื่อของ The Magic Trio

ซึ่งถ้าให้เราวิเคราะห์กันลึก ๆ แล้ว การสร้างบิ๊ก ทรีของ ชิคาโก้ บูลส์ นั้นจะเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันอย่างชัดเจน แต่ถึงแบบนั้นมันก็มีปัญหาเรื่องความไม่ลงรอยกันอยู่เล็ก ๆ มันจึงทำให้ ทีมอย่าง สเปอร์ส ในยุค 2000 เล็งเห็นจุดนั้น และพวกเขาก็ต้องการสร้างทีมบิ๊ก ทรีที่มีความเป็นหนึ่งเดียวในแบบของพวกเขาเอง จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ทีมที่ดีที่สุดของยุค 2000 มานั่นก็คือ ทิม ดันแคน, โทนี่ พาร์คเกอร์ และ มานู จิโนบิลี่
โดยหลักการของของโค้ขที่ต้องการจะสร้างบิ๊ก ทรีในครั้งนี้นั่นก็คือ การทำให้ทุกคนมีแนวคิดว่า เสมือนได้อยู่ในครอบครัวเดียวกัน และทำให้บิ๊ก ทรีของสเปอร์นั้นได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2002 และ ลากยาวมาจนถึงปี 2016 และผู้เล่น 3 ประสานนี้เองที่ได้พา สเปอร์ส กวาดแชมป์ไปถึง 4 แชมป์ และ ทำให้ทีมชนะไปกว่า 1000 เกม เลยทีเดียว