หากพูดถึงการแข่งบาสสิ่งที่หลาย ๆ คนนึกถึงอาจจะเป็นการเล่นพลิ้วไหว และ ลีการทำแต้มที่สวยงาม แต่หลาย ๆ คนอาจจะลืมไปว่าหนึ่งในสิ่งที่เหล่านักบาสต้องเผชิญนั่นก็คือการปะทะ ซึ่งเพราะการเข้าปะทะในบางจังหวะนี่เองที่ทำให้เราจำเป็นที่จะต้องมีรายการที่แข็งแกร่งมากกว่าคนอื่น
และถ้าหากมาพูดถึงหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่ามีความแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์วงการบาส เราเชื่อเลยว่า ผู้เล่นคนนี้จะต้องกลายเป็นคนแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนจะต้องนึกถึงอย่างแน่นอน เพราะเขาคนนี้คือ แชคิล โอนีล
ซึ่งในวันนี้เราจะขอพาคุณทุกคนย้อนร้อยประวัติศาสตร์เพื่อไปชมความแข็งแกร่งที่สะเทือนเลือนทั่วสนั่นไปทั่วทุกสนามใน NBA ของชายคนนี้กัน ซึ่งถ้าทุกคนพร้อมแล้วเราไปเริ่มชมกันเลย
แชคิล โอนีล หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า แชคิล ราชอน โอนีล เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2515
โดยเขาคนนี้เริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสคูล โดยตอนนั้นเขาถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่ค่อนข้างมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่เขาได้ได้ตำแหน่งผู้เล่นแห่งปีของ Southeastern Conference (SEC) ไปถึงสองครั้ง รวมถึงยังได้ตำแหน่างผู้เล่นแห่งปีระดับประเทศในปี
ค.ศ. 1991 ไปครอง แต่สิ่งที่เริ่มกลายเป็นความโดดเด่นที่สุดของเขานั่นก็คือเขานั้นยังสามารถเป็นเจ้าของสถิติจำนวนบล็อกสูงสุดใน 1 เกม ในปี 2533 โดยในตอนนั้นเขาสามารถทำจำนวนบล็อกไปได้มากถึง 17 ครั้งเลยทีเดียว
โดยหลังจากที่ได้โชว์ความแข็งแกร่งจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไปแล้ว ในปี 2535 แชคของเราก็ได้รับเลือกเป็นคนแรกในการดราฟโดยทีมที่เลือกเขาในตอนนั้นก็คือ ออร์แลนโด แมจิก ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงแค่ทีมธรรมดาที่ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไรมากมายนัก จนกระทั่งการมาของ แชค และ แอนเฟอร์นี ฮาร์ดอเวย์ นี้เองที่มันได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนทำให้ ออร์แลนโด แมจิก กลายมาเป็นทีมที่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้
แชคิล โอนีล ได้อยู่สร้างสรรคเกมสุดแข็งแกร่งให้กับ ออร์แลนโด อย่างยาวนานถึง 4 ปีเต็มด้วยกัน
จนกระทั่งเมื่อสัญญาของเขาหมดลง ทางออร์แลนโดก็ได้เสนอจำนวนเงินสูงถึง 115 ล้านเหรียญเพื่อเป็นการต่อสัญญาให้กับผู้เล่นตัวเก่งของเขา แต่ในขณะเดียวกันทาง แชค ก็ได้รับการติดต่อจากยอดทีมอย่าง ทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ด้วยเช่นกัน จนทำให้สุดแล้วแล้ว แชค ก็ตัดสินใจที่ย้ายทีมไปอยู่กับ ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส ในฤดูกาล 1995
และการย้ายมายัง เลเกอร์ส์ นี้เองเขาก็สร้างตำนานให้ทุกคนได้จดจำ เพราะเขาสามารถจับคู่กับสุดยอดผู้เล่นอย่าง โคบี ไบรอันต์ ได้อย่างลงตัว จนทำให้ตอนนั้นพวกเขากลายเป็นคู่การ์ด และ เซ็นเตอร์ที่เล่นได้ประสิทธิภาพที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ แต่ถึงแบบนั้นทางด้านความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งคู่ก็ดูจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก
แต่ถึงแบบนั้นก็ตามทีเพราะการจับคู่อันแสนลงตัวนี้เองที่ทำให้ เลกเกอร์ สามารถโกยความสำเร็จเข้าทีมมาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเช่นการชนะ 3 ปีติด รวมถึง แชค ยังได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในรอบไฟนอลถึง 3 ครั้งรวด อีกทั้งเขายังเป็นผู้เล่นที่ทำแต้มเฉลี่ยสูงสุดในตำแหน่งเซ็นเตอร์ในประวัติศาสตร์การแข่งรอบสุดท้ายเลยทีเดียว
แต่เพราะปมขัดแย้งที่ยังไม่คงมีเรื่อย ๆ กับ โคบี้ รวมถึงผู้บริหารทีม เลกเกอร์ เองก็เริ่มลังเลที่จะทำตามข้อเรียกร้องของ แชค นี้เองที่ทำให้สุดท้ายแล้วทาง แชค ก็ได้ตัดสินใจประกาศว่าตัวเขาเองต้องการที่จะย้ายออก ซึ่งทีมที่เลือกดราฟเขาไปนั่นก็ทีมดังอย่าง ไมอามี่ ฮีต โดยใช้สิทธิ์ในการดราฟตั้งแต่รอบแรกเลยทีเดียว และการเทรดครั้งหน้ายังถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของ NBA เนื่องจาก ไมอามี่ ฮีท ตั้งสินใจยอมสละผู้เล่นจำนวนมากเพียงเพื่อ แชค คนเดียว
และ แชค ก็ได้พิสูจน์ว่าความบ้าของ ไมอามี่ ฮีท คือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่า แชค ประสบความสำเร็จอย่างมากมายหลังจากมาอยู่ที่นี่ และยังทำให้ ฮีท กลายเป็นทีมที่ดีที่สุดของสายตะวันออกแบบไร้ข้อกังขา หนำซ้ำเขายังรับบทเป็นคอยซัพพอร์ตให้กับ ดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนั้นอย่าง ดเวย์น เหวด อีกด้วย
และใน เพลย์ ออฟ ปี 2006 ความฝันที่จะคว้าแชมป์ NBA ของแชคก็มาถึง เมื่อ ไมอามี ฮีท ได้เข้าเพลย์ออฟเป็นอันดับสองในสาย และสามารถโค่น ดีทรอยต์ พีสตันส์ ในรอบชิงแชมป์คอนเฟอเรนซ์ตะวันออก รวมถึงยังชนะทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำให้การคว้าแชมป์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ของแชคไป
แต่ทว่าหลังจากที่เขามีฤดูกาลอันยอดเยี่ยมร่วมกับไมอามี ฮีท แชคก็เริ่มประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเข้ารบกวนอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้บทบาทในการทำคะแนนเริ่มลดน้อยลง และ ฟอร์มการเล่นของเขาก็เริ่มแกว่งเป็นอย่างมากจนทำให้ในที่สุดเขาก็พลาดการแข่งขัน All Star Game ซึ่งเป็นการจบสถิติได้เล่นในเกมใหญ่ถึง 14 ปีติดไว้เท่านั้น
และด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยจะมีเหมือนก่อนทำให้สุดท้ายแล้วในปี 2008 แชค ก็ได้ถูกเทรดจาก ไมอามี่ ฮีท มายัง ฟินิกส์ ซันส์ ซึ่งที่แห่งนี้ แชค ก็ยังไม่สามารถที่จะเรียกฟอร์มเก่งของตัวเองออกมาได้อีกเช่นกันจนทำให้ในปี 2009 แชค ก็ถูกเทรดจาก ฟีนิกซ์ ซันส์ มาที่ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส แต่ที่แห่งนี้เขาก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งได้อีกเช่นกัน แถมปัญหาอาการบาดเจ็บก็ยังคงตามมารบกวนเขาอยู่เรื่อย ๆ จนที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้เล่น Free Agent ในฤดูกาล 2010
แต่เพราะการเป็นผู้เล่น Free Agent นี้เองที่ทำให้หลาย ๆ ทีมให้ความสนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก จนทำให้ในที่สุด บอสตัน เซลติก ก็ตัดสินใจคว้าตัวเขามาร่วมทีมในที่สุด แต่แน่นอนว่าการคว้าตัวมาครั้งนี้ มันก็มาพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ยังคงรบกวนชายร่างยักษ์คนนี้ จึงทำให้ส่วนใหญ่แล้ว แชค แทบจะไม่ได้ลงเล่นให้กับ เซลติกเลย
และเพราะอาการบาดเจ็บที่มีรบกวนอย่างไม่หยุดหย่อนนี้เองที่ทำให้สุดท้ายแล้ว ในวันที่ 1 มิถุนายน 2011 แช็คก็ได้ตัดสินใจประกาศรีไทร์ทางทวิตเตอร์ในที่สุด
และนี่ก็คือเส้นทางของเซ็นเตอร์ร่างยักษ์ผู้สร้างตำนาน และ พิสูจน์ความแข็งแกร่งจนเขย่าเวที NBA มาแล้วอย่าง แชคิล โอนีล แล้วคุณละประทับใจในโมเมนต์ไหนของพี่เบิ้มคนนี้บ้าง dunkswin9
เครดิต : เว็บสล็อต