หากพูดถึงกีฬาอย่างบาสเกตบอลแล้วละก็ กีฬาชนิดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่มีความโด่งดัง และ มีคนนิยมเล่นเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเพราะความนิยมของกีฬาชนิดนี้นี่เองที่ทำให้มีวัฒนธรรมต่าง ๆ หยิบยกเอากีฬาชนิดไปดัดแปลงต่าง ๆ มากกมาย และหนึ่งในสื่อที่ผู้คนมักจะคุ้นชินกันนั่นก็คือ สื่ออย่างภาพยนตร์ โดยในตัวของสื่อภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับบาสเกตบอลนั้นก็มีการทำออกมาหลากลาย แต่เราเชื่อเลยว่าใครที่เป็นคอบาส หรือ คอการ์ตูนแล้ว จะต้องรู้จักหนังการ์ตูนที่เกี่ยวกับบาสอย่างเรื่อง Space Jam อย่างแน่นอน
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์อย่าง Space Jam โด่งดังขึ้นมาก็คงจะหนีไม่พ้นการเอาบรรดาเหล่าตัวการ์ตูน
ยอดฮิตจากดิสนีย์อย่างมาโลดแล่นบนจอเงินผสมผสานกับการใช้คนแสดง แถมที่มาแสดงในหนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นถึงนักบาสระดับตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน เลยอีกด้วย
และเพราะความสนุกของ Space Jam นี่เองที่ทำให้หลาย ๆ คนอยากจะเห็นว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันจะสามารถสร้างสรรค์การ์ตูนเรื่องนี้ออกมาให้ได้สนุกขนาดไหน จนทำให้ในที่สุดไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ภาพยนตร์อย่าง Space Jam ก็ได้มีการสร้างภาคต่อออกมา และ ผู้ที่มาเล่นเป็นนักบาสตัวเอกในเรื่องนี้ก็เป็นซุปเปอร์สตาร์สุดฮอตแห่งวงการ NBA อย่าง เลบรอน เจมส์
ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า การที่ตัวของ เลบรอน เจมส์ มาแสดงหนังเรื่อง Space Jam นี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วงการมาย แต่ทว่าจริง ๆ แล้วการแสดงหนังเรื่องนี้กลับมาใช่แบบนั้น เพราะว่าจริง ๆ แล้วตัวของ เจมส์ นั้นวางแผนงานเกี่ยวกับเข้าวงการมายาแบบนี้มาไว้นานกว่าทศวรรษหนึ่งแล่วนั่นเอง
โดยก่อนหน้าที่จะเริ่มโปรเจคของ Space Jam นั้น เราต้องไปถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของ เจมส์ และ เพื่อนซี้ของเขาที่มีชื่อว่า
มาเวริค คาร์เตอร์ กันเสียก่อน โดยทั้งคู่นั้นสนิทสนมกันมาตั้งแต่ชั้นเรียนไฮสคูล ก่อนที่เส้นทางของทั้งคู่จะแยกออกไป โดยอย่างที่เรารู้กันว่าตัวของ คิงเจมส์ นั้นเลือกเส้นทางที่มาเป็นนักบาสอาชีพในลีก NBA เมื่อปี 2003 ส่วนทางด้านกลับกันเพื่อนซี้ของเขาอย่าง มาเวริค เลือกศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
และถ้าอ่านตรงนี้หลาย ๆ คนก็น่าจะคิดว่าตัวของ มาเวริค คงจะศึกษาด้านภาพยนตร์ต่อจนสามารถเข้าร่วมโปรเจ็คของการทำหนังอย่าง Space Jam ได้ใช่ไหมละ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพราะว่าหลังจากที่ตัวของ มาเวริค เข้ามหาวิทยาลัยในฐานะนักบาส สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจย้ายมหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนในด้านสายธุรกิจ และหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าฝึกงานกับบริษัทอุปกรณ์กีฬาชื่อดังอย่าง ไนกี้ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ส่วนตัวให้กับ เลบรอน เจมส์ และนั่นเองก็ทำให้เพื่อนรักทั้ง 2 คน โคจรมาเจอกันอีกดครั้ง จนกระทั่งในปี 2006 ตัวของ มาเวริค ก็ได้กลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ เจมส์ รวมถึงพวกเขาทั้ง 2 คนยังร่วมกันตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า LRMR Management เพื่อบริหารสิทธิประโยชน์ให้กับนักบาสเกตบอลที่โด่งดัง
และอย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่านักแสดงนำ Space Jam ภาค 2 อย่าง เลบรอน เจมส์
เองก็ได้สร้างปรากฏการณ์สุดเดือดไว้ในวงการ NBA เพราะว่าในปี 2010 เขาคนนี้ได้ประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญออกมา นั่นก็คือการย้ายออกจากทีมที่เป็นบ้านเกิดของเขาอย่าง คีฟแลนด์ ไปสู่อ้อมกอดของ ไมอามี่ ฮีต และนั่นเองก็คือช่วงเวลาที่ทำให้ตัวของ มาเวริค เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะว่าตัวของเขาได้รับการติดต่อมาจาก จิม เกรย์ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ประกาศข่าวของ ESPN ถึงเรื่องการจัดรายการพิเศษ เพื่อประกาศให้บรรดาเหล่าแฟนบาสได้รู้ว่า เลบรอน เจมส์ ตัดสินใจอย่างไร และนั่นก็ประจวบเหมาะกับสิ่งที่ตัวของ มาเวริค คิดอยู่พอดี มันจึงทำให้เกิดรายการพิเศษอย่าง รายการ The Decision ขึ้น
และด้วยความโด่งดังจึงทำให้วงการ Hollywood เองก็พร้อมที่จะหยิบยื่นข้อเสนอให้ตัวของ เจมส์ ได้ต่อยอดชื่อเสียง แต่ทว่าแท้จริงแล้วหนังอย่าง Space Jam กลับไม่ใช่หนังเรื่องแรกของราชาแห่งสนามบาสคนนี้ แต่หนังเรื่องแรกที่ เลบรอน เจมส์ ได้แสดงนั่นก็คือหนังที่มีชื่อเรื่องว่า Trainwreck ในปี 2015
แม้ว่าหนังเรื่อง Trainwreck ตัวของ เจมส์ จะไม่ได้รับบทนำเหมือนดังเช่นเรื่อง Space Jam ก็ตามที
แต่ทว่าทั้ง มาเวริค และ เจมส์ กลับผุดไอเดียที่ก้าวไปอีกครั้ง นั่นก็คือ การเป็นผู้สร้างเพื่อโกยเงินจากวงการมายานี้แทน จึงทำให้พวกเขาทั้ง 2 คนตัดสินใจที่จะเปิดตัว บริษัทอย่าง SpringHill Entertainment
และการตั้งบริษัทอย่าง SpringHill Entertainment นี้เองที่ทำให้ตัวของทั้งคู่ได้ใช้ชื่อเสียงที่โด่งดังในฐานะนักบาสเบอร์ 1 ของวงการเพื่อจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Bros. ซึ่งเป็นบริษัททีถือลิขสิทธ์ของหนังอย่าง Space Jam เอาไว้นั่นเอง
และเมื่อทางบริษัทได้จับมือกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อภาพยนตร์แล้ว จึงทำให้บริษัท SpringHill Entertainment นั้นเริ่มมีแนวทางในการทำการตลาดแนวอื่น ๆ มากขึ้น จากตอนแรกที่บริษัทจะเน้นทำสื่อเกี่ยวกับวงการกีฬาเป็นหลักก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยการสร้างผลงานแนวอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่นการทำซีรีย์ย้อนยุคของนักธุรกิจสาวงผิวดำอย่าง Madam C.J. Walker แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่ตัวของ เจมส์ นั้นลงมาวาดลวดลายในสังเวียนการแสดงเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโปรเจคของ Space Jam
ซึ่งถ้าใครทันดู Space Jam ในภาคแรกทุกคนก็คงจะรู้กันดีว่าฮีโร่นักบาที่มาแสดงนำในตอนนั้นก็คือ
สุดยอดนักบาสแห่งยุคอย่าง ไมเคิล จอร์แดน นั่นเอง และด้วยความสำเร็จอันมหาศาลจของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สามารถกวาดรายได้จากทั่วโลกไปได้ถึง
230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มันจึงกกลายเป็นแรงกดดันให้ตัวของเจมส์ต้องทำภาคใหม่ออกมาให้ประทับใจแฟน ๆ รุ่นเก๋า เพราะกว่าที่เรื่องนี้จะมีภาคต่อออกมาก็กินเวลาไปนานกว่า 20 ปี
และด้วยแรงกดดันของ Space Jam ภาคเก่านี่แหละที่ทำให้ตัวของ เจมส์ เองก็ต้องเล่นใหญ่ไม่แพ้กัน โดยงานนี้เขาได้นำทีมงานระดับ Top ของ Hollywood มารวมกันไม่ว่าจะเป็นทางด้านบท รวมถึงภาพและเสียง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ตัวของเจมส์จะต้องเจอเลยนั่นก็คือ การถูกหยิบยกนำไปเทียบกับภาคเก่า ๆ
จึงทำให้เพื่อนซี้ของเขาอย่าง มาเวริค นั้นตัดสินใจที่จะให้ Space Jam ภาคนี้มันเปรียบเสมือนกับการรีบู๊ตเรื่องราวซะมากกว่า เพื่อที่หลีกเลี่ยงปัญหาของการนำไปเปรียบเทียบไม่ว่าจะเป็นตัวของเนื้อเรื่อง รวมไปถึง ตัวของนักแสดงเอง
แล้วคุณละคิดว่า Space Jam ภาคที่ 2 นี้มันดีกว่าหรือแย่กว่าภาคแรกขนาดไหนกัน dunkswin9
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> เว็บตรงสล็อต